วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 9, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกวัฒนธรรม ชีวิตบทบันทึกเลือด น้ำตา และแรงงานชาวแต้จิ๋ว ฝ่าคลื่นลมบน “เรือหัวสีแดง” จากซัวเถา สู่สยาม…

บทบันทึกเลือด น้ำตา และแรงงานชาวแต้จิ๋ว ฝ่าคลื่นลมบน “เรือหัวสีแดง” จากซัวเถา สู่สยาม…

เผยแพร่

spot_img

เมื่อเอ่ยถึงอภิมหาเศรษฐีเชื้อสายจีนในประเทศไทย หลายคนอาจนึกถึงภาพความหรูหรา และความมั่งคั่งทางธุรกิจที่สั่งสมข้ามรุ่นมาหลายชั่วอายุคน

หากแต่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เหล่านี้คือภาพอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยการพลีชีพและความเจ็บปวด 

นั่นคือเรื่องราวของชาวแต้จิ๋ว-ซัวเถา ผู้บุกเบิกดินแดนสยามด้วยเรือไม้หัวทาสีแดงที่เรียกว่า “เรือหัวแดง” หรือ ”อั่งเถ่าจุ๊ง“ 红头船

หนึ่งชีวิตกับการเดินทางที่ไม่อาจหวนกลับ

ชาวแต้จิ๋วในศตวรรษที่ 19 ออกจากบ้านเกิดท่ามกลางความแร้นแค้นและการปิดประเทศของราชสำนักชิง

เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การท่องเที่ยว หากคือการเอาชีวิตรอด ที่เริ่มจากการจ่ายค่าตั๋วเรือโดยกู้หนี้ 

ยอมตกเป็นแรงงานผูกมัด แลกกับความหวังเพียงว่าอาจมีชีวิตที่ดีกว่าในสยาม

แผ่นดินทองที่ขึ้นชื่อว่า ”ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว“ อุดมสมบูรณ์ขนาดที่ว่าลงอาบน้ำในลำคลองยังโดนปลาตอดขาและอวัยวะช่วงล่าง!

แต่หนทางนั้น ไม่ได้โรยด้วยกลีบบัว เพราะต้องเล่นกับ ”ทะเล“ ที่ผันแปรตลอดเวลา

คำกล่าวโบราณของชาวแต้จิ๋วที่ว่า…

十去三死六留一回头

Shí qù sān sǐ liù liú yī huí tóu

“สิบคนไป สามคนตาย หกคนอยู่ หนึ่งคนกลับ”

สะท้อนความเสี่ยงระดับเดิมพันชีวิต แค่ลงเรือคิดจะไปเมืองไทย เปรียบดั่งขาข้างหนึ่งได้เหยียบลงในนรกไปแล้ว

ประมาณ 30% เสียชีวิตระหว่างทางจากภัยพิบัติทางทะเล โรคระบาด หรือโจรสลัด

อีก 60% ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในสยาม

และมีเพียงไม่ถึง 10% ที่พอจะตั้งตัวได้ มีเงินพอจะพาตัวเองกลับบ้านไปใช้ชีวิตบั้นปลายบนแผ่นดินเกิด

เรือหัวแดง

โลงศพลอยน้ำ?

“เรือหัวสีแดง” คือเรือไม้ใบขนาดกลางที่ลงสีแดงตรงหัวเรือเพื่อให้ทางการเก็บภาษีได้ถูกต้อง

ระบุว่าเรือจากมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของประเทศจีน ที่ถือเป็นธาตุไฟ

เรือหนึ่งลำอัดผู้โดยสารถึง 300-500 คนในห้องใต้ท้องเรือสูงไม่ถึง 1.5 เมตร 

มักถูกเรียกกันว่า “กวนไฉฉวย” 棺材船 “โลงศพลอยน้ำ”

การเดินทางข้ามทะเลจีนใต้จากจีนมาไทยกินเวลา 15-40 วัน

ช่วงมรสุม (พฤษภาคม–ตุลาคม) เรือมักล่มหรือถูกพัดหลงทิศ

และด้วยความยากจน สุขภาวะแย่บนเรือยังมักพบกับโรคติดต่อร้ายแรงอย่างอหิวาต์และไข้จับสั่นแพร่ระบาด

ศพของผู้เสียชีวิตถูกโยนทะเลกลางทางอย่างไร้พิธี และบ่อยครั้งที่เรือถูกปล้นโดยโจรสลัด

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ระบุว่า การเดินทางออกจากซัวเถามีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย 25–35% 

และในปีพ.ศ. 2417 (ค.ศ. 1874) มีรายงานว่า เรือแดง 26 ลำอับปางในพายุครั้งเดียว

ถึงฝั่ง

ใช่ว่ารอดแล้ว

ชาวแต้จิ๋ว ที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงถึงต้นรัตนโกสินทร์ ส่วนใหญ่ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือสำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยา

อาทิ ”ท่าเตียน“ เป็นจุดขึ้นฝั่งเก่าแก่ ใกล้วัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวัง 

ชาวจีนที่มีฐานะดีหรือติดต่อค้าขายกับราชสำนักมักขึ้นฝั่งที่นี่

อีกจุดคือ “ท่ากรมท่า” ใกล้ท่าน้ำราชวงศ์ – ตรงแถวสำเพ็ง

เป็นหนึ่งในท่าเรือหลักของพ่อค้าชาวจีน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนจีนย่านการค้าในย่านสำเพ็ง-เยาวราช

ท่าเรือศาลเจ้าโรงเกือก (ตรอกโรงเกือก) อยู่ใกล้ๆ ตลาดน้อย เป็นบริเวณที่มีศาลเจ้าแต้จิ๋วเก่าแก่

รับชาวจีนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะชาวแต้จิ๋วที่ทำงานกรรมกร เรือกสวน หรือตั้งหลักจากศูนย์

ท่าน้ำวัดกัลยาณ์ ฝั่งธนบุรีมีชาวจีนบางส่วนขึ้นฝั่ง โดยเฉพาะพวกที่ไปตั้งถิ่นฐานแถบคลองบางกอกใหญ่ คลองสาน เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ มีโกดังสินค้าทางเรือ

และต่อมาคือท่าเรือคลองเตย ยุคหลัง ร.5 เป็นต้นมาเป็นจุดที่รับเรือสินค้าสมัยใหม่ (เรือกลไฟ)

ชาวจีนแต้จิ๋วรุ่นหลังที่อพยพในยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ใช้เส้นทางนี้มากขึ้น

มาถึงไทยแล้ว มิได้หมายถึงการเริ่ม “ชีวิตใหม่” ในทันที

ลูกหนี้แรงงานต้องทำงาน 3-5 ปีเพื่อชำระหนี้ค่าตั๋วเรือ

ร่างกายอ่อนแอจากการเดินทาง ทำให้ 20% เสียชีวิตเมื่อถึงไทยแล้ว เพราะโดนไข้ป่าและโรคเขตร้อนเล่นงาน

งานหนักในเหมืองดีบุก สวนเกษตร และโรงงาน ทำให้อัตราตายสูงถึง 30% ในช่วงปีแรก ๆ

นอกจากนี้ยังถูกหลอก กดขี่แรงงาน และเลือกปฏิบัติเป็นเรื่องปกติ ทำใจไว้ได้เลย…

รอดชีวิต

คือชัยชนะ

ผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่ง มีเพียงประมาณ 10% เท่านั้นที่ได้กลายเป็นเจ้าของกิจการ

ตอกย้ำว่า คนจีนในไทยไม่ได้รวยทุกคน

ส่วนใหญ่กลายเป็นพ่อค้ารายย่อย ช่างฝีมือ หรือหาบเร่

พวกเขาเหล่านี้ส่งเงินกลับบ้านด้วยระบบที่เราเรียกว่า ”โพยก๊วน“ 

ผลผลิตจากเลือดและน้ำตาของบรรพชน ปูทางให้ชนรุ่นลูกหลานเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต

บันทึกแห่งการอพยพด้วยความกล้าหาญไม่มีในตำรามากนัก ส่งต่อมาผ่านการบอกเล่า

ข้อมูลของผู้อพยพเหล่านี้ส่วนใหญ่สูญหายไปกับคลื่นทะเล ประวัติศาสตร์ทางการไม่มีบันทึก เพราะการเดินทางบางส่วนผิดกฎหมาย 

หรือละเมิดนโยบายห้ามอพยพของราชวงศ์ชิง หลักฐานที่เหลืออยู่คือ จดหมาย ศพไร้ชื่อ และอาคารเก่า

ในวันนี้เมื่อมองถนนเยาวราช สามย่าน หรือถนนสามแพร่งในกรุงเทพฯ ล้วนเต็มไปด้วยร่องรอยของชาวแต้จิ๋วผู้อพยพผ่านเรือหัวสีแดง 

บ้านร้านของพวกเขาหลายแห่งกลายเป็นตึกแถวเก่าแก่ ตลาด และย่านการค้าใหญ่

แม้ 1 ใน 3 ต้องจบชีวิตกลางทะเล

แต่คนที่รอดได้ปักธงชีวิตบนผืนแผ่นดินใหม่

และทิ้งมรดกที่เปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปตลอดกาล

ประเทศไทยกลายเป็นบ้านของลูกหลานแต้จิ๋วกว่า 10 ล้านคน 

คิดเป็น 14% ของประชากรทั้งประเทศ 

หลอมรวมให้สยามกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างที่เห็นทุกวันนี้

#ไทยคำจีนคำ

————-

ลอดลายมังกร 龙裔泰人 (หลงอี้ไท่เหยิน) – หลินหลินอินไทยแลนด์ [OFFICIAL MV]

ข่าวล่าสุด

เปิดโปง “เสือนอนกิน” ใต้ร่มเงาสลากฯ

ข้อเท็จจริงที่ตอกย้ำความไม่เป็นธรรม คือ สำนักงานสลากฯ ได้จัดสรรโควต้ากว่า 145,095 เล่ม (คิดเป็น 13.82%) ให้แก่องค์กร สมาคม และมูลนิธิต่างๆ แต่หลังจากนั้นกลับ "ปัดความรับผิดชอบ"

ทรัมป์จะทะยอยปราชัยในทุกเรื่องที่เขาก่อการร้ายๆ ให้กับโลก

ทรัมป์ เจรจากับสีจิ้นผิงที่ปูซาน เมื่อ 6 วันที่ผ่านมา อ่านแล้วเดาอนาคตของโลกได้

โถส้วมทองคำชื่อ “America” ประมูลขายราคา $10 ล้าน

โถสุขภัณฑ์ทองคำ 18 กะรัต น้ำหนักกว่า 103 กิโลกรัม ผลงานชื่อ “America” ของศิลปินแนวคอนเซปชวลชาวอิตาเลียน เมาริซิโอ คัตเตลาน (Maurizio Cattelan) เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016

ข่าวอื่นๆ

๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๑๙ วันประสูติ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ต้นราชสกุล “จิรประวัติ”

✩ จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (๗ พฤศจิกายน ๒๔๑๙ - ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๖) เป็นหนึ่งในพระราชโอรสกลุ่มแรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงไปศึกษาต่อในทวีปยุโรป

ผ้าม่วงทึ่ใช้นุ่งโจงกระเบนในสมัยก่อนนั้น เหตุใดจึงเรียกว่าผ้าม่วง

สาเหตุที่เรียกผ้าม่วงก็เพราะผ้าไหมชนิดนี้สั่งทำมาจากเมืองจีน เป็นผ้าที่ทอมาจากโรงงานในเมือง "หม่วง" ในมณฑลเซี่ยงไฮ้ประเทศจีน

ท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา ผู้ถูกคัดเลือกไปเรียนการฝีมือที่ญี่ปุ่นสมัย ร.๖

สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ทรงเห็นชอบในพระราชดำริ จึงทรงเลือกกุลสตรี 4 คน ซึ่งประกอบไปด้วย คุณหลี, คุณพิศ, คุณนวล, และคุณขจร หรือท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา ท่านผู้หญิงขจรกับคุณพิศ ไปเรียนวิชาปักสะดึง และวาดเขียนแบบญี่ปุ่น ส่วนคุณหลีและคุณนวล ไปเรียนการทำดอกไม้แห้ง