เมื่อเอ่ยถึงอภิมหาเศรษฐีเชื้อสายจีนในประเทศไทย หลายคนอาจนึกถึงภาพความหรูหรา และความมั่งคั่งทางธุรกิจที่สั่งสมข้ามรุ่นมาหลายชั่วอายุคน
หากแต่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เหล่านี้คือภาพอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยการพลีชีพและความเจ็บปวด
นั่นคือเรื่องราวของชาวแต้จิ๋ว-ซัวเถา ผู้บุกเบิกดินแดนสยามด้วยเรือไม้หัวทาสีแดงที่เรียกว่า “เรือหัวแดง” หรือ ”อั่งเถ่าจุ๊ง“ 红头船
หนึ่งชีวิตกับการเดินทางที่ไม่อาจหวนกลับ
ชาวแต้จิ๋วในศตวรรษที่ 19 ออกจากบ้านเกิดท่ามกลางความแร้นแค้นและการปิดประเทศของราชสำนักชิง
เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การท่องเที่ยว หากคือการเอาชีวิตรอด ที่เริ่มจากการจ่ายค่าตั๋วเรือโดยกู้หนี้
ยอมตกเป็นแรงงานผูกมัด แลกกับความหวังเพียงว่าอาจมีชีวิตที่ดีกว่าในสยาม
แผ่นดินทองที่ขึ้นชื่อว่า ”ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว“ อุดมสมบูรณ์ขนาดที่ว่าลงอาบน้ำในลำคลองยังโดนปลาตอดขาและอวัยวะช่วงล่าง!
แต่หนทางนั้น ไม่ได้โรยด้วยกลีบบัว เพราะต้องเล่นกับ ”ทะเล“ ที่ผันแปรตลอดเวลา
คำกล่าวโบราณของชาวแต้จิ๋วที่ว่า…
十去三死六留一回头
Shí qù sān sǐ liù liú yī huí tóu
“สิบคนไป สามคนตาย หกคนอยู่ หนึ่งคนกลับ”
สะท้อนความเสี่ยงระดับเดิมพันชีวิต แค่ลงเรือคิดจะไปเมืองไทย เปรียบดั่งขาข้างหนึ่งได้เหยียบลงในนรกไปแล้ว
ประมาณ 30% เสียชีวิตระหว่างทางจากภัยพิบัติทางทะเล โรคระบาด หรือโจรสลัด
อีก 60% ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในสยาม
และมีเพียงไม่ถึง 10% ที่พอจะตั้งตัวได้ มีเงินพอจะพาตัวเองกลับบ้านไปใช้ชีวิตบั้นปลายบนแผ่นดินเกิด
เรือหัวแดง
โลงศพลอยน้ำ?
“เรือหัวสีแดง” คือเรือไม้ใบขนาดกลางที่ลงสีแดงตรงหัวเรือเพื่อให้ทางการเก็บภาษีได้ถูกต้อง
ระบุว่าเรือจากมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของประเทศจีน ที่ถือเป็นธาตุไฟ
เรือหนึ่งลำอัดผู้โดยสารถึง 300-500 คนในห้องใต้ท้องเรือสูงไม่ถึง 1.5 เมตร
มักถูกเรียกกันว่า “กวนไฉฉวย” 棺材船 “โลงศพลอยน้ำ”
การเดินทางข้ามทะเลจีนใต้จากจีนมาไทยกินเวลา 15-40 วัน
ช่วงมรสุม (พฤษภาคม–ตุลาคม) เรือมักล่มหรือถูกพัดหลงทิศ
และด้วยความยากจน สุขภาวะแย่บนเรือยังมักพบกับโรคติดต่อร้ายแรงอย่างอหิวาต์และไข้จับสั่นแพร่ระบาด
ศพของผู้เสียชีวิตถูกโยนทะเลกลางทางอย่างไร้พิธี และบ่อยครั้งที่เรือถูกปล้นโดยโจรสลัด
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ระบุว่า การเดินทางออกจากซัวเถามีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย 25–35%
และในปีพ.ศ. 2417 (ค.ศ. 1874) มีรายงานว่า เรือแดง 26 ลำอับปางในพายุครั้งเดียว
ถึงฝั่ง
ใช่ว่ารอดแล้ว
ชาวแต้จิ๋ว ที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงถึงต้นรัตนโกสินทร์ ส่วนใหญ่ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือสำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยา
อาทิ ”ท่าเตียน“ เป็นจุดขึ้นฝั่งเก่าแก่ ใกล้วัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวัง
ชาวจีนที่มีฐานะดีหรือติดต่อค้าขายกับราชสำนักมักขึ้นฝั่งที่นี่
อีกจุดคือ “ท่ากรมท่า” ใกล้ท่าน้ำราชวงศ์ – ตรงแถวสำเพ็ง
เป็นหนึ่งในท่าเรือหลักของพ่อค้าชาวจีน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนจีนย่านการค้าในย่านสำเพ็ง-เยาวราช
ท่าเรือศาลเจ้าโรงเกือก (ตรอกโรงเกือก) อยู่ใกล้ๆ ตลาดน้อย เป็นบริเวณที่มีศาลเจ้าแต้จิ๋วเก่าแก่
รับชาวจีนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะชาวแต้จิ๋วที่ทำงานกรรมกร เรือกสวน หรือตั้งหลักจากศูนย์
ท่าน้ำวัดกัลยาณ์ ฝั่งธนบุรีมีชาวจีนบางส่วนขึ้นฝั่ง โดยเฉพาะพวกที่ไปตั้งถิ่นฐานแถบคลองบางกอกใหญ่ คลองสาน เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ มีโกดังสินค้าทางเรือ
และต่อมาคือท่าเรือคลองเตย ยุคหลัง ร.5 เป็นต้นมาเป็นจุดที่รับเรือสินค้าสมัยใหม่ (เรือกลไฟ)
ชาวจีนแต้จิ๋วรุ่นหลังที่อพยพในยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ใช้เส้นทางนี้มากขึ้น
มาถึงไทยแล้ว มิได้หมายถึงการเริ่ม “ชีวิตใหม่” ในทันที
ลูกหนี้แรงงานต้องทำงาน 3-5 ปีเพื่อชำระหนี้ค่าตั๋วเรือ
ร่างกายอ่อนแอจากการเดินทาง ทำให้ 20% เสียชีวิตเมื่อถึงไทยแล้ว เพราะโดนไข้ป่าและโรคเขตร้อนเล่นงาน
งานหนักในเหมืองดีบุก สวนเกษตร และโรงงาน ทำให้อัตราตายสูงถึง 30% ในช่วงปีแรก ๆ
นอกจากนี้ยังถูกหลอก กดขี่แรงงาน และเลือกปฏิบัติเป็นเรื่องปกติ ทำใจไว้ได้เลย…
รอดชีวิต
คือชัยชนะ
ผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่ง มีเพียงประมาณ 10% เท่านั้นที่ได้กลายเป็นเจ้าของกิจการ
ตอกย้ำว่า คนจีนในไทยไม่ได้รวยทุกคน
ส่วนใหญ่กลายเป็นพ่อค้ารายย่อย ช่างฝีมือ หรือหาบเร่
พวกเขาเหล่านี้ส่งเงินกลับบ้านด้วยระบบที่เราเรียกว่า ”โพยก๊วน“
ผลผลิตจากเลือดและน้ำตาของบรรพชน ปูทางให้ชนรุ่นลูกหลานเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต
บันทึกแห่งการอพยพด้วยความกล้าหาญไม่มีในตำรามากนัก ส่งต่อมาผ่านการบอกเล่า
ข้อมูลของผู้อพยพเหล่านี้ส่วนใหญ่สูญหายไปกับคลื่นทะเล ประวัติศาสตร์ทางการไม่มีบันทึก เพราะการเดินทางบางส่วนผิดกฎหมาย
หรือละเมิดนโยบายห้ามอพยพของราชวงศ์ชิง หลักฐานที่เหลืออยู่คือ จดหมาย ศพไร้ชื่อ และอาคารเก่า
ในวันนี้เมื่อมองถนนเยาวราช สามย่าน หรือถนนสามแพร่งในกรุงเทพฯ ล้วนเต็มไปด้วยร่องรอยของชาวแต้จิ๋วผู้อพยพผ่านเรือหัวสีแดง
บ้านร้านของพวกเขาหลายแห่งกลายเป็นตึกแถวเก่าแก่ ตลาด และย่านการค้าใหญ่
แม้ 1 ใน 3 ต้องจบชีวิตกลางทะเล
แต่คนที่รอดได้ปักธงชีวิตบนผืนแผ่นดินใหม่

และทิ้งมรดกที่เปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปตลอดกาล
ประเทศไทยกลายเป็นบ้านของลูกหลานแต้จิ๋วกว่า 10 ล้านคน
คิดเป็น 14% ของประชากรทั้งประเทศ
หลอมรวมให้สยามกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างที่เห็นทุกวันนี้
#ไทยคำจีนคำ
————-
ลอดลายมังกร 龙裔泰人 (หลงอี้ไท่เหยิน) – หลินหลินอินไทยแลนด์ [OFFICIAL MV]



