แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงและคำมั่นต่อเวทีนานาชาติ แต่กัมพูชายังคงถูกกล่าวหาว่าละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยการวางทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน จนทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ กระทรวงการต่างประเทศต้องประท้วงเป็นครั้งที่ 4 ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี พฤติกรรมเช่นนี้กำลังบั่นทอนความไว้วางใจ และอาจทำให้กัมพูชาเผชิญแรงกดดันรอบด้านจากประชาคมโลก
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ที่ทหารไทยซึ่งออกลาดตระเวนบริเวณช่องจุบตะโมก จังหวัดสุรินทร์ เหยียบทุ่นระเบิดและได้รับบาดเจ็บ เป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนของปัญหาที่หมักหมมระหว่างไทยและกัมพูชา และกลายเป็นเหตุให้กระทรวงการต่างประเทศไทยต้องออกแถลงการณ์ประท้วงอย่างเป็นทางการต่อกัมพูชาเป็นครั้งที่ 4 ในรอบไม่กี่เดือน
การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 5 วันหลังจากที่สองประเทศเพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง และยืนยันร่วมกันว่าจะลดความตึงเครียดตามแนวชายแดน ทว่าเพียงไม่นานก็เกิดเหตุซ้ำรอย การละเมิดข้อตกลงเช่นนี้กำลังทำให้คำว่า “สันติภาพ” กลายเป็นเพียงวาทกรรมที่ขาดน้ำหนัก และไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นได้อีกต่อไป
กัมพูชาเป็นภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้และทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แต่การวางทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่องนี้ ถูกมองว่าเป็นการละเมิดทั้งพันธกรณีทางกฎหมายและจริยธรรมในเวทีนานาชาติ
นานาประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่สนับสนุนงบประมาณและความช่วยเหลือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในกัมพูชา ต่างแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ และเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ทบทวนการให้ความช่วยเหลือ หากรัฐบาลพนมเปญยังไม่ยุติการกระทำที่เป็นการยั่วยุและเสี่ยงต่อความมั่นคงภูมิภาค
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และน่าเศร้าที่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย หากไม่มีแรงกดดันเพียงพอ” นักวิชาการด้านความมั่นคงในกรุงเทพฯ กล่าว พร้อมชี้ว่าการเพิกเฉยต่อพฤติกรรมเช่นนี้ จะทำให้มาตรฐานสากลในด้านสิทธิมนุษยชนและความมั่นคงถูกบ่อนทำลาย
พฤติกรรมการปฏิเสธข้อกล่าวหาและโยนความผิดกลับไปยังฝ่ายไทย เป็นยุทธวิธีที่กัมพูชาเคยใช้ในอดีต เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นหลัก แม้จะเป็นวิธีที่ได้ผลในระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับสร้างความสับสนและความไม่ไว้วางใจในวงกว้าง
ไทยในฐานะผู้เสียหาย ได้วางกลยุทธ์ทางการทูตอย่างรอบคอบ ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อนำเสนอในเวทีนานาชาติ ทั้งต่อประธานอนุสัญญาออตตาวา เลขาธิการสหประชาชาติ และองค์กรความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อให้ปัญหานี้ถูกมองอย่างตรงไปตรงมา และไม่ถูกบิดเบือนด้วยวาทกรรมทางการเมือง
เหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความจริงใจของกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างสันติ การประชุมหยุดยิงอาจกลายเป็นเพียงพิธีกรรมทางการทูตที่ใช้สร้างภาพลักษณ์ภายนอก ขณะที่ความเป็นจริงในพื้นที่กลับเต็มไปด้วย “ดอกไม้เหล็ก” ที่พร้อมจะระเบิดขึ้นทุกเมื่อ
สำหรับทหารไทยผู้ปฏิบัติหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ชายแดน พวกเขาต้องอยู่กับความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนดินทุกย่างก้าว ขณะที่คำมั่นสัญญาระหว่างรัฐบาลทั้งสองกลับกลายเป็นเพียงตัวอักษรในเอกสาร
หากสันติภาพเป็นบ้านหลังหนึ่ง บ้านของเราคงมีรั้วที่ถูกโรยด้วยระเบิด และเพื่อนบ้านที่บอกว่า “ไม่ต้องห่วง เราอยากอยู่ร่วมกันอย่างสงบ” ขณะเดียวกันก็แอบฝังทุ่นเพิ่มทุกคืน
บางที สิ่งที่กัมพูชากำลังทำ ไม่ได้เพียงแค่ทำลายความไว้วางใจของไทยซึ่งหมดไปนานแล้ว แต่กำลังขุดหลุมฝังที่นั่งของตัวเองในสังคมโลก เพราะในเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ไม่มีใครอยากนั่งข้างคนที่เอาระเบิดมาวางใต้โต๊ะประชุม