เธอเล่าว่า ตีห้าครึ่ง คุณแม่ของเธอเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ศพมาถึงวัดป่าใกล้บ้านประมาณเที่ยง สวดอภิธรรม และเผาช่วงบ่ายสาม
หกโมงเช้าวันถัดมาไปเก็บกระดูก
สิบโมงเอาไปลอยอังคาร จุดธูปลอยเอง ไม่มีพระนำสวด โดยลอยทุกชิ้นส่วน ไม่เก็บไว้เลย
เธอกล่าวในขณะลอยอังคารว่า “แม่ไปเลยนะ ไม่ต้องห่วงใคร ทุกคนมีกรรมของตัวเอง แม่ไปตามแสงสว่างเลย ไม่มีสังขารให้ทรมานแล้ว ยินดีด้วย“
เธอระบุว่าค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 35,000 บาท มีการแบ่งหน้าที่โดยพี่น้องและญาติๆ ช่วยกันจัดการ น้ำแข็ง น้ำแจก อาหารเลี้ยงพระ มีของชำร่วยที่เพื่อนช่วยจัดให้และร่วมบุญ ประหยัดเงิน ไม่เป็นภาระ ญาติไม่ต้องหยุดงานหลายวัน คนที่อยากมาก็มา คนที่มาไม่ได้ก็อุทิศบุญจากที่อยู่
ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ที่เด็ดขาดและน่าสนใจมาก
ไทยเรามีคำสุภาษิตหนึ่งว่า “คนตายขายคนเป็น” ซึ่งหมายถึง การจัดงานศพอย่างฟุ่มเฟือยเกินฐานะจนเกิดหนี้สิน
จากเว็บไซต์ ThaiPublica ตีพิมพ์งานศึกษาของ “อนันต์ ยูสานนท์” เรื่องเศรษฐศาสตร์การตาย ระบุว่า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานศพของคุณแม่ของเขาซึ่งเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ.2520 ตั้งบำเพ็ญกุศล บรรจุศพและฌาปนกิจที่ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสประกอบด้วย 4 รายการ ได้แก่รับศพไปวัดรวมถึงพิธีอาบน้ำศพ 1,414.5 บาท, ค่าใช้จ่ายในการสวดพระอภิธรรม 6 คืน 8,488 บาท, ค่าใช้จ่ายในการบรรจุศพ และ ค่าใช้จ่ายฌาปนกิจศพรวมถึงพิธีแปรธาตุ 1,653 บาท รวมเสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 11,555.50 บาท
ทว่าจากปี 2520 – 2554 เป็นเวลา 34 ปี จะเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพมีราคาเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว
ตัวเลขจากเว็บไซต์ Funeral Plans ระบุว่าในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายในการศพโดยเฉลี่ยในประเทศไทยจะอยู่ระหว่าง 80,000 ถึง 200,000 บาทและในบางกรณี ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีใครที่จัดงานศพโดยมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้าน
เรตวัดดังในกรุงเทพ เช่นวัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร จัดสวดศพ 3 คืน มีค่าใช้จ่ายประมาณ 60,000-90,000 บาท, 5 คืน ประมาณ 80,000-120,000 บาท, 7 คืน ประมาณ 100,000-150,000 บาท
วัดโสมนัส สวด 3 คืน มีค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 บาท, 5 คืน ประมาณ 60,000 บาท, 7 คืน ประมาณ 70,000 บาท ส่วนวัดพระศรีมหาธาตุ จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 100,000-150,000 บาท
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ค่าใช้จ่ายสูง มาจากการแสดงสถานะทางสังคม ในบ้านเราความหรูหราใหญ่โตของงานศพเป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานภาพและความมีหน้ามีตาทางสังคม รวมไปถึงฐานะทางเศรษฐกิจสังคมของผู้ตายและญาติๆ
ค่าใช้จ่ายหลักมาจากค่าศาลาตั้งศพ ที่มีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลายพันบาท ดอกไม้หน้าหีบศพที่มีราคาเริ่มต้นที่หลักพันไปจนถึงหลักแสน โลงศพก็มีแตกต่างกันหลายราคา ตั้งแต่ประมาณ 2,500-100,000 บาท ส่วนอาหารและเครื่องดื่มในงานศพ ก็มีตั้งแต่ขนมธรรมดาถึงขนมจากห้างหรู
“คุณสตางค์”และครอบครัว ใช้งบประมาณจัดงานศพแม่วันเดียว เพียง 35,000 บาทจึงเป็นเรื่องที่ว้าว!มาก โดยที่ตัวเธอก็เน้นย้ำว่าทำได้เพราะ“ไม่แคร์สายตาชาวบ้าน”เป็นสำคัญ แต่กลับมีคนมาร่วมไว้อาลัยในงานคุณแม่ของเธอเป็นจำนวนมากกว่าที่คิด
สิ่งที่น่าคิดอีกอย่างคือ การจัดงานศพคุณแม่วันเดียวจบของครอบครัวคุณสตางค์ ไม่ได้ขัดกับหลักพุทธศาสนาเลย
ใครเคยอ่านหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่นที่เราพิมพ์แจกจ่ายไปจำนวนมาก (มีรายละเอียดในช่องคอมเมนต์)ก็จะทราบว่า ในสมัยที่พระอาจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ เวลามีพระลูกศิษย์เสียชีวิต ท่านก็จัดการเผาเลยทันทีในวันนั้น จีวร ข้าวของเครื่องใช้ก็แจกจ่ายนำไปให้พระที่ยังอยู่ในทันที ท่านไม่ได้พิรี้พิไรกับงานศพเลย
ความเชื่อเรื่อง “7 วัน หลังความตาย วิญญาณยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์” นั้น ไม่ใช่หลักการในพระไตรปิฎกโดยตรง แต่เป็นความเชื่อที่ผสมผสานจากหลายแหล่ง
ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อจากพุทธศาสนามหายาน ที่บอกว่าหลังเสียชีวิตใน 7 วันแรก วิญญาณจะต้องเดินผ่านดงหมาป่า มีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือฝูงใหญ่ขวางทางอยู่ โดยเชื่อว่าหลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว คนๆ นั้นจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย ซึ่ง 7 วัน ให้หลังเมื่อรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่า 20 นาทีแรกของการตาย วิญญาณจะยังไม่หลุดจากร่าง ยังเข้าสู่ภวังค์เพื่อเปลี่ยนภพภูมิ และระลึกถึงสิ่งที่เคยทำมาในอดีตทั้งหมด และต่อจากนั้น 7 วันแรกของความตาย วิญญาณยังวนอยู่ที่เดิม หรือไปบอกลาญาติ ซึ่งมีความแตกต่างจากหลักพุทธศาสนาเถรวาทของไทยเรา
จากพระไตรปิฎก ในศาสนาพุทธ คำว่าวิญญาณ (บาลี: viññāṇa; สันสกฤต: विज्ञान) ใช้หมายถึงพิชาน (consciousness) คือความรู้แจ้ง ไม่มีความหมายในแง่วิญญาณที่คงอยู่หลังความตายแบบที่เข้าใจในความเชื่อทั่วไป
ในศาสนาพุทธเถรวาทของไทยเราไม่มีแนวคิดเรื่อง “วิญญาณ” ที่คงอยู่หลังความตายแบบนั้น หลักการในพระไตรปิฎกสอนว่า การเกิดใหม่เกิดขึ้นทันทีหลังความตาย ไม่มีการรอคอย 7 วัน หรือ 49 วัน การนำความเชื่อเรื่องการการตั้งศพ 7 วันหรือทำบุญตาม 49 วัน จึงไม่ใช่หลักการในพุทธศาสนาของไทย
การจัดงานศพ การทำบุญที่ผูกติดกับความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายอย่างเหนียวแน่นนี้ เป็นไปตามคติที่สืบทอดกันมากล่าวว่า ช่วง 7 วัน คือช่วงที่ผู้ล่วงลับยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ ส่วนครบรอบ 50 วัน คือช่วงที่ผู้ล่วงลับกำลังรอคอยการพิพากษาจากพญายมราชในยมโลก และ 100 วัน คือช่วงที่ได้รับการพิพากษาว่าจะถูกส่งไปเกิดเป็นอะไร
ความเชื่อนี้ถูกนำมาใช้เป็น เหตุผลในการจัดงานศพ 3, 5, 7 วัน , การสวดพระอภิธรรม รวมถึงการทำบุญ 7 วัน, 50 วัน, 100 วัน ที่เราปฏิบัติกันมา
แม้ว่าไม่ใช่หลักการในพระไตรปิฎกโดยตรง แต่ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมงานศพไทย และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้งานศพมีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง จากความเชื่อว่าต้อง “ช่วยเหลือ” ผู้ล่วงลับในช่วงเวลาดังกล่าว
มรณานุสติ การระลึกถึงความตาย เป็นเรื่องปกติของชีวิต คุณสตางค์ต้นโพสต์เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความกล้าหาญด้านศีลธรรมและจริยธรรมอย่างมาก
เธอมีความคิดว่าความกตัญญู การดูแลขณะมีชีวิตสำคัญกว่าการจัดงานศพใหญ่โต การมีสติ รู้จักประเมินตัวเอง ทำตามงบที่จ่ายได้ ไม่กู้เงิน ไม่ทำตามแรงกดดันสังคม โดยเน้นว่าการดูแลแม่อย่างดีในขณะที่ท่านยังมีชีวิตและการทำงานศพด้วยจิตสำนึกที่ดีสำคัญกว่าการจัดงานใหญ่โต และแม่ของเธอก็มาเข้าฝันในสภาพดี แสดงว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องแล้ว
ทั้งหมดนี้ เป็นแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่ต้องอาศัยสติปัญญาเป็นอย่างมาก ต้องคิดถึงความเป็นจริงและเหตุผลมาแล้วอย่างถี่ถ้วน จึงสามารถตัดสินใจได้เด็ดขาดอย่างยิ่งเช่นนี้
มันน่าสนใจ
และควรสนับสนุนมาก
( ที่มา : ปราย พันแสง : ทอล์คออฟเดอะทาวน์.)