หากย้อนเวลากลับไปเมื่อราว 20–30 ปีก่อน ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักชื่อ “ศิราณี” ผู้เป็นยิ่งกว่าที่ปรึกษาปัญหาหัวใจ คอลัมน์ตอบจดหมายใน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และ นิตยสารขวัญเรือน ที่โด่งดังเป็นพลุแตก ชนิดที่ใครมีเรื่องรักร้าวก็มักจะเขียนไปขอคำปรึกษา
“หนูรัก ก. มาก แต่ ก. กลับไปรัก ข. หนูจะทำอย่างไรดีให้ ก. กลับมารักหนูคะ?”
“หนูรัก น. มาก หนูเอาใจเขาทุกอย่าง อยากรู้ว่าพี่ศิราณีว่า น. รักหนูหรือเปล่า?”
จดหมายเหล่านี้คือเสียงสะท้อนจากผู้อ่านทั่วประเทศที่ฝากความหวังไว้กับใครคนหนึ่ง… ที่น่าประหลาดใจคือ “พี่ศิราณี” ไม่ใช่สุภาพสตรีใจดีอย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นสุภาพบุรุษผู้หนึ่งชื่อ ถนอม อัครเศรณี หรือ “พี่หนอม” ของเพื่อนพ้องในแวดวงสื่อ

ชายใจดีผู้ซ่อนตัวหลังนามปากกา
ถนอม อัครเศรณี เป็นนักหนังสือพิมพ์ นักเขียน และกวีที่รักการประพันธ์มาตั้งแต่อายุ 16 ปี เขาใช้หลากหลายนามปากกา ตั้งแต่งานนวนิยายในชื่อ รัตติกาล หรือ ราชภูมิ อัครพันธุ์ งานกลอนในชื่อ อัครรักษ์ ไปจนถึงงานวิจารณ์กีฬาในชื่อ แย็ก เดินเซ และ กรุ๊ปเดียวเกลี้ยง
ในปี พ.ศ. 2502 วงการหนังสือพิมพ์เริ่มรู้จักคำว่า “ศิราณี” อย่างเป็นทางการ เมื่อ วิมล พลกุล บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เสียงอ่างทอง ชวนถนอมมาตอบปัญหาสตรี ใช้นามปากกาว่า “ดาเรศ กุลนิตย์” ต่อมาเมื่อย้ายมาร่วมงานกับ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จึงได้เปลี่ยนนามปากกาเป็น “ศิราณี” และใช้ชื่อนี้ต่อเนื่องยาวนานถึง พ.ศ. 2528
ศิราณี: คำตอบของหัวใจ

สำนวนภาษาของถนอม อ่อนโยน ลึกซึ้ง และเต็มไปด้วยเหตุผล เขาไม่เพียงตอบจดหมาย หากยังรับฟังความทุกข์ของคนอ่านด้วยหัวใจ เข้าใจความเปราะบางของมนุษย์ และชี้ให้เห็นแสงสว่างในอีกมุมหนึ่งอย่างนุ่มนวล
คอลัมน์ “ศิราณีคลี่คลายปัญหารัก” ในขวัญเรือนและไทยรัฐ จึงไม่ใช่เพียงแค่คำแนะนำ แต่เป็น “ยาวิเศษ” ของผู้หญิงทุกวัยในยุคนั้น คำตอบของเขาช่วยเยียวยาหัวใจที่แตกร้าว และมอบกำลังใจให้คนที่หลงทางในเส้นทางรักกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
จากคอลัมน์ในหน้ากระดาษ สู่คำเรียกติดปาก
เมื่อเวลาผ่านไป “ศิราณี” กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้ให้คำปรึกษาปัญหาหัวใจ ไม่ว่าผ่านตัวหนังสือ สื่ออินเทอร์เน็ต หรือคำพูดเล่น ๆ ในหมู่เพื่อน
“อกหักเหรอ…มามะ เดี๋ยวชั้นเป็นศิราณีให้เธอเอง!”
และทุกครั้งที่เอ่ยชื่อนี้ ภาพของชายใจดีผู้หนึ่ง ผู้ใช้ปลายปากกาสร้างความอบอุ่นให้ผู้หญิงทั้งแผ่นดิน ก็จะกลับมาปรากฏในความทรงจำอีกครั้ง
“ศิราณี” จึงไม่ได้เป็นเพียงนามปากกา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเข้าใจและความเมตตาที่อยู่เหนือกาลเวลา
(ที่มา : เจาะเวลาหาอดีต)