10 กันยายน 2568 กระแสการพูดถึงโครงการ #คนละครึ่ง กลับมาอีกครั้ง เมื่อ นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) ออกมาเล่าผ่านเฟซบุ๊กว่า จุดกำเนิดและเจตนารมณ์ของโครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียง #มาตรการแจกเงินชั่วคราว ในช่วง #โควิด-19 แต่คือ ก้าวแรกของ #การปฏิรูประบบสวัสดิการ สังคมไทยให้ยั่งยืนและตรงจุด
จุดเริ่มต้น : “คนละครึ่ง” ไม่ใช่แค่ประชานิยม
ย้อนกลับไปปี 2563 ท่ามกลางวิกฤตโควิดที่ทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดชะงัก รัฐบาลต้องหามาตรการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะ #กลุ่มรายได้น้อย และ #ร้านค้าธุรกิจเล็ก ที่เป็น “เส้นเลือดฝอยของเศรษฐกิจในท้องถิ่น”
โครงการ “คนละครึ่ง” จึงถูกออกแบบขึ้นภายใต้แนวคิด “ประชาชนลดภาระ ร้านค้าเพิ่มรายได้ รัฐสร้างฐานภาษี” โดยอาศัย #เทคโนโลยีดิจิทัล ผ่าน แอปพลิเคชันเป๋าตัง ของธนาคารกรุงไทย เพื่อให้ทุกการใช้สิทธิ์ถูกบันทึก โปร่งใส และตรวจสอบได้
ความเข้าใจเบื้องหลังการออกแบบ โครงการไม่ได้หยุดแค่การ “ช่วยจ่ายแทนครึ่งหนึ่ง” แต่มีการวางโครงสร้างที่ชัดเจนเพื่อให้ตรงกับสภาพสังคมไทย
** ประชาชน – แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
#รายได้น้อย : ช่วยตรงจุด เช่น ค่าเดินทางสาธารณะ ปุ๋ย-เมล็ดพันธุ์เกษตร
#คนชั้นกลาง : ใช้ระบบ co-payment ไม่ถึง 50:50 แต่ยังช่วยลดภาระรายจ่ายจำเป็น
#ผู้มีรายได้สูง : ได้สิทธิ์คืนภาษี เพื่อจูงใจให้ใช้กับสินค้าไทยหรือ #SME
#ร้านค้า : เปิดโอกาสธุรกิจเล็กเข้าสู่ระบบ เพิ่มแต้มต่อในการแข่งขันกับรายใหญ่ พร้อมเงื่อนไขให้เข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อลดเศรษฐกิจนอกระบบ
#รัฐ : ใช้โครงการเป็นเครื่องมือ #เก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่าย ปรับระบบภาษีในอนาคต และสร้างฐานรายได้การคลังที่มั่นคง
** ใครมีส่วนผลักดัน?
ความสำเร็จของโครงการ “คนละครึ่ง” เกิดจากการร่วมแรงหลายฝ่าย
– รัฐบาลและกระทรวงการคลัง : กำหนดนโยบายและงบประมาณ
– สภาพัฒน์ (สศช.) : วางกรอบเชิงเศรษฐกิจและประเมินผลกระทบ
– ธนาคารกรุงไทย : พัฒนาและดูแลระบบ “เป๋าตัง” ที่เป็นหัวใจสำคัญ
– ภาคเอกชน : เช่น กลุ่มธนาคาร นักเศรษฐศาสตร์ รวมถึง “ปิติ ตัณฑเกษม” ที่เป็นหนึ่งในผู้ผลักดันแนวคิดรัฐสวัสดิการรูปแบบใหม่
– ประชาชนและร้านค้า : ผู้เข้าร่วมจริงที่ทำให้โครงการเดินหน้าและพิสูจน์ผลลัพธ์
** ขั้นตอนจากไอเดียสู่การประเมินผล
– ออกแบบมาตรการ – วางแนวคิด co-payment ไม่ใช่การแจกตรง
– ทดลองใช้จริง – เริ่มเฟสแรกในปี 2563 ครอบคลุมประชาชนหลักสิบล้านคน
– ขยายผล – ปรับเงื่อนไขในเฟสต่อ ๆ มา เพิ่มวงเงิน-จำนวนสิทธิ
– เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ – ใช้ฐานข้อมูลดิจิทัลเพื่อประเมินพฤติกรรมการใช้จ่าย
– ประเมินผล – พบว่าเม็ดเงินกระจายถึงร้านค้าเล็กกว่า 60% ลดการพึ่งพาเงินสด และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
** ไปทางไหนต่อ?
นายปิติ กล่าวว่า หากโครงการนี้กลับมาอีกครั้งในอนาคต ไม่ควรจำกัดแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว แต่ต้องพัฒนาเป็น #ระบบสวัสดิการถาวร เช่น
– การต่อยอดสู่ Negative Income Tax
– การปฏิรูป VAT ให้หลายอัตราเหมือนต่างประเทศ
– การสร้างระบบลงทะเบียนที่รัดกุม เพื่อให้การช่วยเหลือตรงกลุ่มเป้าหมาย
เป้าหมายระยะยาว คือ #ลดความเหลื่อมล้ำ ดัน SME ให้เข้มแข็ง ดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี และสร้างสวัสดิการที่ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งภาระการคลังให้คนรุ่นหลัง