ไม่เพียงกระทบต่อชะตาของอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ยังโยนเงาสะท้อนตามรายทาง ทั้งราชทัณฑ์ แพทย์ ตำรวจ และผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ที่อาจต้องถูกดำเนินคดีในฐานะปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองชี้ว่า การที่ กรมราชทัณฑ์ และ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อนุญาตให้ส่งตัว ทักษิณ ชินวัตร ออกจากเรือนจำไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่เป็นไปตามกฎหมายราชทัณฑ์ เนื่องจากอาการป่วยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติ อีกทั้งโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพเพียงพอ จึงถือเป็นการดำเนินการที่ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และทำให้ระยะเวลานั้นไม่นับรวมเป็นโทษจำคุก
วงการกฎหมายตั้งคำถามชัดเจนต่อหลายตำแหน่งบุคคลที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อธิบดีกรมราชทัณฑ์, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่มีอำนาจกลั่นกรองเบื้องต้น รวมถึง แพทย์ผู้ตรวจเวรในเรือนจำ ที่ออกความเห็นรับรอง และ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ที่จัดห้องพิเศษรองรับการรักษา โดยไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกับผู้ต้องขังทั่วไป
นักกฎหมายชี้ว่า บุคคลเหล่านี้อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และในบางกรณีอาจเป็นการ “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” หากพิสูจน์ได้ว่ารู้ข้อเท็จจริงแต่ยังเอื้อประโยชน์ต่อจำเลย ขณะที่ ผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงยุติธรรม ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบทางการกำกับดูแลได้
รัฐบาลใหม่เอี่ยมของ นายอนุทิน ชาญวีระกุล คงไม่พลาดที่จะเร่งสะสางเรื่องนี้เพื่อแสดงผลงานให้เห็นผลโดยเร็ว แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ย้อนกลับไป “แก้แค้นส่วนตัว” ต่อคำลั่นวาจาของ นายทักษิณ ในอดีต ที่เคยปลดเขาจากตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย…เพราะการเมืองไทยสอนเรามานานแล้วว่า ศัตรูเมื่อวานอาจกลายเป็นพันธมิตรในวันพรุ่งนี้เสมอ