หนึ่งในร่างกฎหมายที่สังคมไทยกำลังจับตามอง คือ ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534
สำหรับกฎหมายเช็ค พ.ศ. 2534 แม้จะมีเจตนาป้องกันการทุจริต แต่กลับสร้างภาระมหาศาลต่อประเทศ และถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือบีบบังคับลูกหนี้อย่างไม่เป็นธรรม เพราะกำหนดให้การออกเช็คโดยไม่มีเงินเพียงพอเป็น ความผิดอาญา ทั้งที่ความจริงควรเป็นเพียงข้อพิพาททางแพ่ง
ที่ผ่านมา เจ้าหนี้จำนวนไม่น้อยเลือกใช้ช่องทางคดีอาญาเพื่อบีบลูกหนี้ให้ชำระหนี้ทางแพ่ง การฟ้องร้องคดีเช็คจึงล้นศาล เรือนจำเต็มไปด้วยผู้ต้องขังคดีเช็ค ทั้งที่หลายกรณีไม่มีเจตนาทุจริต
หลักการเช่นนี้ไม่เพียงขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ที่กำหนดให้โทษอาญาใช้เฉพาะกับความผิดร้ายแรงเท่านั้น แต่ยังสวนทางกับมาตรฐานสากล และสร้างต้นทุนแก่ระบบยุติธรรมเกินจำเป็น
ร่างกฎหมายใหม่ที่รัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมผลักดัน เสนอให้ยกเลิก พ.ร.บ.เช็ค 2534 ทั้งฉบับ และให้ข้อพิพาทเกี่ยวกับเช็คกลับสู่กรอบทางแพ่งเช่นเดิม
เช็คยังคงมีสถานะเป็นตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่จะไม่มีโทษจำคุกสำหรับผู้เขียนเช็คที่ธนาคารปฏิเสธจ่ายเงิน เจ้าหนี้จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งแทนการดำเนินคดีอาญา
ร่างนี้เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ผ่านกระทรวงยุติธรรม และได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ภายใต้รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ต่อมาในช่วงปลายปี 2567 ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร โดยมี นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ เขต3 พรรคเพื่อไทย เป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ ซี่งประชุมกันแล้ว 17 ครั้ง และได้เสนอเข้าสู่ คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล เพื่อยื่นเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 3 ของสภาฯ ซึ่ง พ.ร.บ ฉบับนี้ได้ค้างอยู่มานานมาก
ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากยังคงได้รับผลกระทบ ต้องถูกจองจำหรือรับโทษเกินกว่าเหตุจากคดีเช็ค ทั้งที่ความผิดพลาดทางธุรกิจเกิดขึ้นได้เสมอ
ผู้ประกอบการบางรายไม่เพียงสูญเสียธุรกิจและทรัพย์สิน แต่ยังต้องเผชิญโทษจำคุก หากร่างกฎหมายนี้ผ่าน จะสามารถปลดปล่อยผู้ต้องขังคดีเช็คหลายหมื่นคน

ลดภาระศาล อัยการ ตำรวจ และเรือนจำ อีกทั้งยังคืนความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ไม่มีเจตนาทุจริต และทำให้ระบบกฎหมายสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ที่กำหนดให้โทษอาญาใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นจริง ๆ
และนี่คือก้าวสำคัญของการปฏิรูปกฎหมาย ที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งผลักดันให้ถึงที่สุด
เพราะเบื้องหลังร่างกฎหมายนี้คือชีวิตจริงของผู้คนนับหมื่นที่กำลังรอคอยอิสรภาพ และโอกาสเริ่มต้นใหม่อย่างเป็นธรรม ประชาชนที่เดือดร้อนกำลังฝากความหวังไว้กับรัฐบาลใหม่ ว่าจะไม่ปล่อยให้กฎหมายฉบับนี้ค้างคาในวิปรัฐบาลอีกต่อไป