กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…
มีเจ้านายคนหนึ่งอยากทดสอบไหวพริบลูกน้อง จึงยื่นโจทย์ประหลาดว่า
“เอาหวีเหล่านี้ไป… แล้วไปขายให้พระภิกษุให้ได้”
ลูกน้องทั้งหกคนต่างงงงวย เพราะพระภิกษุไม่มีผม แล้วจะเอาหวีไปทำไมกัน?
แต่ถึงอย่างนั้น แต่ละคนก็ออกเดินทางพร้อมหวีในมือ และกลับมาด้วยเรื่องราวที่ต่างกันไป
คนแรก : ผู้ยอมแพ้แต่ต้นทาง
เขาบ่นพึมพำ “เจ้านายบ้าหรือไง พระหัวโล้นหมดแล้ว จะเอาหวีไปขายทำไม”
แล้วก็หันหลังไปดื่มเหล้า นอนหลับ และกลับมาบอกเจ้านายว่า “ขายไม่ได้ครับ”
เจ้านายเพียงยิ้มบาง ๆ เหมือนจะบอกว่า “เรื่องนี้ข้าก็รู้อยู่แล้วละ”
คนที่สอง : ผู้ขายด้วยความสงสาร
เขาไปหาพระแล้วเล่าเรื่องทุกข์ร้อน
“ถ้าขายไม่ได้ ผมคงตกงาน ขอท่านช่วยซื้อสักอันเถอะ”
พระได้ฟังแล้วเกิดเมตตา จึงหยิบเงินซื้อไว้หนึ่งอัน
นี่คือการขายที่ได้เพราะความสงสาร ไม่ใช่เพราะคุณค่าของหวี
คนที่สาม : ผู้มองเห็นประโยชน์
เขาสังเกตเห็นคนที่มาทำบุญ ผมเผ้ายุ่งเหยิง
จึงกล่าวกับพระว่า
“ถ้าวัดมีหวีไว้ให้ญาติโยม หวีผมให้เรียบร้อยก่อนกราบพระ นั่นคือการแสดงความเคารพที่แท้จริง”
พระเห็นด้วย จึงซื้อหวีไว้สิบอัน
คนที่สี่ : ผู้คิดแทนวัด
เขาเสนอว่า “ถ้าวัดมีหวีไว้เป็นของกำนัลแจกผู้มากราบไหว้ ก็จะยิ่งสร้างศรัทธา”
พระพิจารณาแล้วเห็นด้วย ซื้อไว้ถึงหนึ่งร้อยอัน
คนที่ห้า : ผู้เปลี่ยนหวีให้มีคุณค่าทางธรรม
เขาเอ่ยว่า “ถ้าแกะสลักคำสอนลงบนหวี แล้วมอบให้ผู้ศรัทธา ก็จะได้ทั้งของใช้และธรรมะติดตัวกลับไป”
พระยิ้มกว้าง ซื้อไว้ถึงหนึ่งพันอัน
คนที่หก : ผู้แปรเปลี่ยนหวีเป็นของวิเศษ
เขากล่าวเบา ๆ ว่า
“ถ้าท่านปลุกเสกหวีเหล่านี้ให้เป็นเครื่องคุ้มครอง จะกลายเป็นการทำบุญและเผยแผ่ชื่อเสียงวัด
ญาติโยมจะได้ทั้งศรัทธา ทั้งสิ่งมงคลกลับไป”
พระได้ยินแล้วพนมมือสาธุทันที ซื้อไว้หนึ่งหมื่นอัน และตั้งชื่อว่า
“หวีสั่งสมความดี หวีคุ้มครองปลอดภัย”
หวีธรรมดา จึงกลายเป็นเครื่องรางยอดนิยมในเวลาไม่นาน
บทสรุปของนิทาน
คนแรกยอมแพ้เพราะติดกรอบความคิดเดิม ๆ
คนที่สองขายด้วยความสงสาร ซึ่งอยู่ได้ไม่นาน
คนที่สามและสี่ คิดเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น จึงได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น
คนที่ห้า สร้างคุณค่าทางจิตใจให้สินค้า
คนที่หก พลิกของธรรมดาให้กลายเป็นของวิเศษ
นิทานนี้สอนเราว่า โจทย์ยากแค่ไหน ก็ยังมีหลายหนทางแก้ไขได้
หากเราไม่หยุดที่คำว่า “เป็นไปไม่ได้” แต่ลองคิดให้กว้างและลึก บางทีผลลัพธ์อาจยิ่งใหญ่กว่าที่เราคาดไว้เสียอีก
Cr: ห้องทำมะทำโม