กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เมื่อเธอเปิดตัวนโยบาย Quick Big Win มุ่งผลักดันการส่งออกไปจีนเป็นหัวใจสำคัญ ขณะที่เกษตรกรและผู้ประกอบการต่างลุ้นว่า จะเป็นการสร้างความมั่นคงจริงหรือเพียงการโชว์ KPI ให้ประชาชนชื่นชมในระยะสั้น
นโยบาย Quick Big Win ของนางศุภจี มุ่งเป้าไปที่การสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ภายใน 4 เดือนแรก โดยเฉพาะการเร่งรัดส่งออกข้าวไปจีนผ่านกลไกรัฐต่อรัฐ (G2G) จากโควตาเดิม 280,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ตรวจสอบสินค้าและเร่งรัดกระบวนการร้องเรียนทางการค้า จุดมุ่งหมายคือการดูดซับผลผลิตส่วนเกินกว่า 21.8 ล้านตัน และทำให้เกษตรกรไทยรู้สึกว่าราคาข้าวไม่ตกต่ำจนเกินไปในช่วงออกผลผลิต
ผลลัพธ์เชิงบวกและความหวังระยะสั้น หากทำสำเร็จ นโยบายนี้จะเป็นตัวช่วยสร้างเสถียรภาพราคาข้าวและสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกร ขณะที่ตัวเลขการส่งออกไปจีนจะฟื้นตัวชัดเจน และอาจทำหน้าที่เป็น “กันชน” ชั่วคราวไม่ให้ตลาดล่มสลาย
อย่างไรก็ตาม นี่คือ Quick Win จริง ๆ คือการแก้ปัญหาสุขภาพเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ไม่ใช่การสร้างโครงสร้างยั่งยืน
นับเป็นความท้าทายและความเสี่ยงของรัฐมนตรีใหม่ถอดด้ามที่ร่ำลือว่ามือฉมัง
แต่ความสำเร็จภายใน 4 เดือนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การพึ่งพา G2G ทำให้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลจีน หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวหรือมีข้อจำกัดในการนำเข้าข้าว แผน 500,000 ตันอาจไม่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ หากไม่ปรับปรุงคุณภาพสินค้าและคุมสินค้าด้อยคุณภาพ ผลดีในช่วงสั้นก็อาจเป็นเพียงการ “ซื้อเวลา” ให้รัฐบาลและเกษตรกรผ่อนคลายชั่วคราวเท่านั้น
Quick Big Win ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือรัฐมนตรีที่มาจากภาคเอกชนว่า สามารถสร้าง KPI ให้ประชาชนเห็นอย่างเร่งด่วนได้ แต่สำหรับผลลัพธ์ระยะยาว การเจรจา FTA การใช้เทคโนโลยี AI ปกป้องการค้า และการแก้ไขกฎระเบียบ เป็นตัวชี้วัด
ใครก็จับตาดูและเอาใจช่วยให้ตลอดรอดฝั่งในการสร้างฝีไม้ลายมือเหมือนเมื่ออยู่ภาคเอกชน
สำคัญว่าการสร้างรากฐานการค้าไทยจะยั่งยืนหรือไม่ ไม่ใช่แค่โชว์ตัวเลขส่งออกข้าวให้สื่อถ่ายรูปสวย ๆ ตลอด 4 เดือนนี้