“เหลือห้องเดียว….นะครับ
คุณแน่ใจนะว่า..จะพัก…?”
เสียงแหบพร่าของชายแก่เจ้าของโรงแรมเก่าริมทาง บอกแทรกผ่านเสียงฝนซัดกระจกจนแทบกลืนทุกเสียง
ผมเห็นรอยขอบตาคล้ำและผิวเหี่ยวย่น ราวกับเวลาสะสมบนใบหน้าเขาหลายสิบปี
ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
มือเย็นชื้นจากฝน เอื้อมรับกุญแจเหล็กขึ้นสนิมมาถือ กุญแจนั้นเย็นเฉียบเหมือนสัมผัสน้ำแข็งเปล่า ป้ายไม้สลักเบอร์ 13 ห้อยอยู่
“ถ้ามีอะไรผิดปกติ… อย่าทำเสียงดัง”
คำพูดนั้นยังคงก้องอยู่ในหัวผม ขณะที่ก้าวเข้าไปในความมืดแล้วเดินขึ้นบันไดไม้ที่ราวเกาะโยกเยก…
ฝนกระหน่ำจนถนนริมทางหลวงกลายเป็นลำธาร
ผมทั้งดึงทั้งลากกระเป๋าเก่าขึ้นบันไดไม้ทุกขั้นลั่นเอี๊ยดเหมือนเตือนว่าผมควรนอนในรถจะดีกว่า ไม่ควรมาด้วยซ้ำ
ห้องหมายเลข 13 อยู่สุดทางเดิน ไฟนีออนกระพริบไม่สม่ำเสมอ ผนังเปียกชื้นมีคราบน้ำสีคล้ำเหมือนเลือดเก่าติดเกรอะกรัง
ลมหนาวซุกซ่อนอยู่ในมุมมืด จนรู้สึกถึงความเย็นที่ซึมเข้ากระดูกสันหลัง
เหลียวซ้ายแลขวาที่นอกจากความเงียบ ยังมัว ๆ เหมือนความโศกสลดของใครสักคน
ผมไขกุญแจอยู่เกือบนาที กว่าจะเปิดออกได้ กลิ่นอับชื้นผสมกลิ่นสนิมแรงขึ้นทุกวินาที พื้นไม้เย็นชื้น มือสั่นเล็กน้อย
ไฟติดครึ่งเดียว อีกฝั่งมืดสนิท พัดลมเพดานหมุนช้า ๆ
“กึก… กึก…”
เหมือนหัวใจห้องที่เต้นช้า ๆ
บนผนัง กระจกเก่าบานใหญ่สะท้อนตัวผม แต่เงาที่สะท้อนเหมือนขุ่นมัว มีบางอย่างคล้ายหมอกค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาใกล้จนใจคอไม่ดี
ผมวางกระเป๋า นั่งลงบนเตียงไม้ เสียงลั่น “เอี๊ยด” ดังขึ้นเหมือนใครนอนอยู่ก่อนหน้า
หัวใจผมเต้นแรง มือเย็นชืด
“เสียงไม้เก่าน่ะ… ใช่ มั้ง” ผมปลอบตัวเอง
แต่สายตาเริ่มจับอะไรบางอย่างในมุมมืด เงาร่างบาง ๆ เคลื่อนผ่านเสี้ยวหนึ่งของประตู จนขยลุกชัน
มือควานไปทั่วโต๊ะใกล้ ๆ หลังจุดเทียน ผมหยิบไดอารี่ออกมาเขียนด้วยความเคยชินของการเดินทาง…
“คืนนี้พักที่โรงแรมไม้เก่าริมทางหลวงสายเก่า
ฝนตกหนัก ไม่มีที่ไป ห้องหมายเลข 13ดูแปลก ๆ แต่ก็ไม่เลวร้ายอะไร”
พลันเทียนสั่นไหวตามแรงลมจากพัดลมเพดานที่หยุดหมุนแล้วกลับมาติดใหม่
เสียงหยดน้ำ “ติ๊ก… ติ๊ก… ติ๊ก…” บนหลังคาสังกะสีดังขัดกับความเงียบหนาทึบ
กลิ่นไม้เปียกชื้นและสนิมเข้มข้นจนแทบหายใจไม่เต็มปอด
ผมวางสมุดลง หัวใจเต้นรัว ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังจ้องอยู่ในมุมมืด
ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก …มืดสนิท
แต่มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัว ….. ฝีเท้าช้า ๆ ลากไปมาที่ปลายเตียง — “กึก… กึก…”
ใจเต้นแรง หันไปทางประตู…ที่หมายแรกที่จะต้องทำ
ผมหยิบไฟฉายจากกระเป๋า ส่องไปรอบห้อง ไม่มีอะไร
แต่ในกระจก… ผมเห็นเงาคนยืนอยู่ข้างหลัง
คิดขึ้นได้ทันที…หันขวับกลับหลังไปจ้อง …
ห้องว่างเปล่า….!

หัวใจเต้นแรง ลมหายใจสั้นและร้อน
ผิวหนังรู้สึกหนาวเย็นประหลาดที่ต้นคอ
รีบคว้าเสื้อแจ็คเก็ต เตรียมจะออกจากห้อง
ผมทนต่อไปไม่ได้….ผมจะรอจกว่าจะถึงรุ่งเช้าไม่ได้แน่
เปิดประตูเสียงดัง… สิ่งที่เห็นคือ กำแพงไม้ตัน
ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีทางเดิน….!
รีบดึงประตูกลับดังโครม…เลื่อนสลักกลอนที่กำลังหลุดร่วง
ผมเคาะประตูแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“มีใครอยู่ไหม! ช่วยด้วย!”
เสียงสะท้อนกลับมาชัดเจน …..
“มีใครอยู่ไหม! ช่วยด้วย!”
เสียงสะท้อน เป็นเสียงของผมเอง
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้
เทียนเล่มสุดท้ายดับลง เหลือเพียงแสงเลือนลางจากกระจก
เงานั้นยังอยู่ ยืนนิ่ง ไม่กะพริบตา
หัวใจผมเต้นแรงจนแทบสลาย….!
เงานั้น…
เริ่มยิ้มช้า ๆ….!
ลมหายใจผมตื้นและสั่น
เหงื่อเย็นไหลตามขมับ
ผมนั่งลงพิงผนังห้อง รู้สึกเหมือนว่าร่างของผมเริ่ม ละลายเข้าไปในความมืด
ลุกขึ้นไปกระแทกหน้าต่างจนฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นสายหมอก
ผลักไม่ออก
ไม่กล้านอนบนเตียงไม้ที่เสียงดังทุกครั้งที่นั่งหรือขยับท่านอน
ค่อย ๆ หย่อนตัวลวไปตามพื้นราบของห้องอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ตาขึงไม่ยอมหลับ
นานแสนนานจนผลอยไป….
เสียงเคาะปลุกให้ผมตื่น
“คุณครับ… คุณครับ…เช้าแล้ว คุณจะเช็กเอาต์ใช่ไหม?”
ผมสะดุ้งอีกครั้ง รีบเปิดประตู พบชายแก่เจ้าของโรงแรมที่ขายห้องแห่งความกลัวยืนอยู่ หน้านิ่งเฉยเหมือนจะไม่ยอมรับรู้เหตุการณ์ใด
แสงเช้าอ่อนโยนแต่ยังเย็นตามร่างกาย
“เมื่อคืนคุณเสียงดังหน่อยนะครับ
ห้องนี้สะท้อนเสียงแรง”
เขายิ้มจาง “ผมคงฝันร้าย” ถอนหายใจ แล้วถามขึ้น
“มีคนพักห้องนี้ก่อนผมไหมครับ?”
ชายแก่ไม่ตอบ ยื่นกาแฟที่เย็นชืดให้ ผมรับมามือยังสั่น
พร้อมกับเปรยขึ้นมา “ผมคงฝันร้าย” แล้วถามซ้ำอีก
“มีคนพักห้องนี้ก่อนผมไหมครับ?”
ชายแก่เงียบ ก่อนตอบเบา ๆ
“ไม่มีนะ !“
“เอ…แต่ผมเห็น”
“คุณเห็นอะไร” ชายแก่พูดเร็วพลางจ้องหน้า
“เปล่า..เปล่า..ผมคิดไปเอง” ผมรีบกลบเกลื่อน
ชายชรามองไปทางบันไดเหมือนนึกอะไรได้ หันมาพูดเบา ๆ อาจเปลี่ยนใจที่เก็บงำไว้
“ก็มีนะ ..แต่นานแล้ว ช่างไฟฟ้าชื่อแป้น เขามาแก้สายไฟ แล้วก็หายไป”
“แป้น…หน้าตาล่ะลุง..” ผมรีบถาม
ชายชราลังเลเหมือนคิด มือเกาศีรษะแล้วลูบคาง …
หันไปทางมุมห้อง ก้มรื้อหนังสือพิมพ์เก่ากองสูงครู่ใหญ่ จนดึงออกมาหนึ่งฉบับ ปัดฝุ่นฟุ้งกระจาย แล้วจ้องที่ภาพข่าว
มือผมสั่นทันทีเมื่อชายแก่ชี้ตรงภาพนั้นให้ดู….
ผมก้มแล้วจ้อง…แล้วพยักหน้าเหมือนพอจำได้ ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ลุงแก่ชายตาไปทางบันไดอีก…. แล้วเหลือบมาทางผม
ทำท่าเหมือนจะบอกอะไร
แต่เปลี่ยนใจเดินเลี่ยงออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน
เหมือนเงาทาบอยู่ทางขึ้นห้องพัก ผมไม่กล้ามองไปทางบันได ยกกระเป๋าแล้วสอดสายผ้าคล้องบ่ารีบเดินออกไปไล่เลี่ยกัน
ผมขับรถออกจากโรงแรมเก่าชายป่าอันแสนน่ากลัว
ด้วยความไม่สบายใจ ฝนหยุด ถนนว่างเปล่า
ย่านนี้ น่ากลัวอีกแล้ว…
พยายามโทรหาคนในครอบครัว แต่ไม่มีใครรับสาย
และยังไม่ได้โทรกลับมาจนหงุดหงิด
บริเวณนี้ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ใด ๆ ทั้งนั้น
รถเลี้ยวเข้าแนวป่าที่มืดครึ้มวังเวงเหมือนฝนจะตกลงมาอีก

ผมจะต้องขับรถผ่านป่าไปอีกไกล กำลังตัดสินใจว่าจะหยุดพักก่อน หรือรีบขับให้พ้นแนวป่า
พลันก็นึกถึงชายแก่..และบันไดขึ้นห้องพัก
ผมหยุดรถ เหลือบดูกระจกมองข้าง…..!
สดุ้งสุดตัว…!
ผงะหงาย ทำให้รถกระตุกแรง…จนดับ
ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่ของผม
มันคือช่างไฟคนนั้น คนที่เจอในกระจก…ช่างแป้น
คนที่ชายแก่เฝ้าโรงแรมพูดถึง
พอได้สติ…รีบติดเครื่องยนต์กระชากรถออกไปทันที
เหยียบคันเร่งหนีออกจากที่นั่น…แล้วเหมือนมีเสียง
และเงาวูบวาบตามมา …
ยิ่งเร่ง…มันยิ่งตาม…!
ผมห้ามล้อให้ลดความเร็วรุนแรงจนหน้าคะมำ
ชั่วอึดใจ ค่อย ๆ ชายตาไปดู
พลันมองกระจกส่องหลัง มีเงาหนึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง
ยิ้มให้ผมช้า ๆ……และหยุดยิ้มทันทีที่สบตากัน !
หน้าเหมือนจะขึ้งโกรธ..
ผมจ้องอีกครั้ง….!
ผมกลั้นหายใจ ..รู้แน่แล้วว่า… ผมไม่เคยออกจากห้องหมายเลข 13 เลยตั้งแต่แรก