ในสถานการณ์เลวร้ายซ้ำซาก ไทยตัดสินใจยกเลิกปฏิญญาสันติภาพกับกัมพูชาเพื่อปกป้องชีวิตทหารและอธิปไตยของชาติ ขณะที่ประชาคมโลกจับตาพฤติการณ์ที่น่ารังเกียจของเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด
นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ระบุเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าการระงับปฏิญญาสันติภาพเป็นมาตรการจำเป็น หลังทหารไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะเป็นคนที่ 7 จากเหตุทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน เหตุการณ์เกิดขึ้นแม้จะมีการลงนามปฏิญญาร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ทำให้รัฐบาลไทยเห็นความจำเป็นต้องใช้มาตรการเข้มข้นเพื่อปกป้องประชาชนและรักษาอธิปไตย
เพื่อสร้างความเข้าใจและยืนยันมาตรการดังกล่าว นายกรัฐมนตรีอนุทินได้หารือทางโทรศัพท์กับ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ทั้งสองฝ่ายยืนยันสนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม และสหรัฐฯ รับรองว่าจะไม่เชื่อมโยงประเด็นการระงับปฏิญญากับการเจรจาภาษีการค้าไทย-สหรัฐฯ ที่อยู่ในอัตรา 19% ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสพิจารณาปรับลดเพิ่มเติม หากไทยสามารถดำเนินการถอนทุ่นระเบิดอย่างรวดเร็วและโปร่งใส
แม้มีข้อท้วงติงว่าการเจรจาผ่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอาจเข้าข้างกัมพูชา แต่การสื่อสารผ่านผู้นำมาเลเซียทำให้ไทยสามารถย้ำให้คู่กรณีปฏิบัติตามเงื่อนไขปฏิญญาอย่างเคร่งครัด และเป็นการยกระดับประเด็นไปสู่เวทีภูมิภาคอย่างเหมาะสม
ในขณะเดียวกัน นายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน วิจารณ์นายกรัฐมนตรีว่าโหนกระแสชาตินิยมเพื่อหวังคะแนนนิยมมากกว่า แต่หลักฐานข้อเท็จจริงและคำชี้แจงต่อสาธารณชนชี้ชัดว่าการตัดสินใจเกิดจากความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน ไม่ใช่แรงกดดันจากต่างชาติหรือช่วงชิงเวลาของชาติไปหาเสียง
การดำเนินการของไทยในสถานการณ์นี้เหมาะสมที่สุด ทั้งในเชิงการทูตและความมั่นคง และช่วยให้ประชาคมโลกเห็นว่า พฤติการณ์น่ารังเกียจซ้ำซากของกัมพูชาเป็นที่เลื่องลือ จนไทยเองก็เอือมระอา
ดังนั้น การสื่อสารชัดเจนกับสหรัฐฯ และมาเลเซียทำให้ไทยสามารถรักษาผลประโยชน์และสร้างแรงกดดันรอบด้านต่อกัมพูชาโดยไม่เสียเปรียบ
ในสถานการณ์เลวร้ายนี้ ความสุขุมลุ่มลึกและการยึดมั่นกติกาโลกของไทย กลายเป็นแบบอย่างสง่างามให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เห็นชัดเจนว่าบางครั้งการ “เอือมระอา” ก็เป็นพลังแห่งความชอบธรรมได้



