วันพุธ, พฤศจิกายน 19, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกINSIDE - INSIGHTไทยตัดสินใจถูกต้อง ยกเลิกปฏิญญาสันติภาพ พฤติการณ์เลวร้ายซ้ำซากของกัมพูชา

ไทยตัดสินใจถูกต้อง ยกเลิกปฏิญญาสันติภาพ พฤติการณ์เลวร้ายซ้ำซากของกัมพูชา

เผยแพร่

spot_img

  ในสถานการณ์เลวร้ายซ้ำซาก ไทยตัดสินใจยกเลิกปฏิญญาสันติภาพกับกัมพูชาเพื่อปกป้องชีวิตทหารและอธิปไตยของชาติ ขณะที่ประชาคมโลกจับตาพฤติการณ์ที่น่ารังเกียจของเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด

                              นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ระบุเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าการระงับปฏิญญาสันติภาพเป็นมาตรการจำเป็น หลังทหารไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะเป็นคนที่ 7 จากเหตุทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน เหตุการณ์เกิดขึ้นแม้จะมีการลงนามปฏิญญาร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ทำให้รัฐบาลไทยเห็นความจำเป็นต้องใช้มาตรการเข้มข้นเพื่อปกป้องประชาชนและรักษาอธิปไตย

                            เพื่อสร้างความเข้าใจและยืนยันมาตรการดังกล่าว นายกรัฐมนตรีอนุทินได้หารือทางโทรศัพท์กับ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ทั้งสองฝ่ายยืนยันสนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม และสหรัฐฯ รับรองว่าจะไม่เชื่อมโยงประเด็นการระงับปฏิญญากับการเจรจาภาษีการค้าไทย-สหรัฐฯ ที่อยู่ในอัตรา 19% ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสพิจารณาปรับลดเพิ่มเติม หากไทยสามารถดำเนินการถอนทุ่นระเบิดอย่างรวดเร็วและโปร่งใส

                        แม้มีข้อท้วงติงว่าการเจรจาผ่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอาจเข้าข้างกัมพูชา แต่การสื่อสารผ่านผู้นำมาเลเซียทำให้ไทยสามารถย้ำให้คู่กรณีปฏิบัติตามเงื่อนไขปฏิญญาอย่างเคร่งครัด และเป็นการยกระดับประเด็นไปสู่เวทีภูมิภาคอย่างเหมาะสม

                       ในขณะเดียวกัน นายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน วิจารณ์นายกรัฐมนตรีว่าโหนกระแสชาตินิยมเพื่อหวังคะแนนนิยมมากกว่า  แต่หลักฐานข้อเท็จจริงและคำชี้แจงต่อสาธารณชนชี้ชัดว่าการตัดสินใจเกิดจากความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน ไม่ใช่แรงกดดันจากต่างชาติหรือช่วงชิงเวลาของชาติไปหาเสียง

                         การดำเนินการของไทยในสถานการณ์นี้เหมาะสมที่สุด ทั้งในเชิงการทูตและความมั่นคง และช่วยให้ประชาคมโลกเห็นว่า พฤติการณ์น่ารังเกียจซ้ำซากของกัมพูชาเป็นที่เลื่องลือ จนไทยเองก็เอือมระอา 

                        ดังนั้น การสื่อสารชัดเจนกับสหรัฐฯ และมาเลเซียทำให้ไทยสามารถรักษาผลประโยชน์และสร้างแรงกดดันรอบด้านต่อกัมพูชาโดยไม่เสียเปรียบ

                          ในสถานการณ์เลวร้ายนี้ ความสุขุมลุ่มลึกและการยึดมั่นกติกาโลกของไทย กลายเป็นแบบอย่างสง่างามให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เห็นชัดเจนว่าบางครั้งการ “เอือมระอา” ก็เป็นพลังแห่งความชอบธรรมได้

ข่าวล่าสุด

อธิบายคดีขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นที่ศาลฎีกาสั่งทักษิณ ชินวัตรจ่าย 1.76หมื่นล้านบาท

เดิมกรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา บุตร-ธิดานายทักษิณ 17,600 ล้านบาทเศษ จากผลประโยชน์จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นให้กองทุนเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ แต่บุคคลทั้งสองต่อสู้ว่าผู้ต้องเสียภาษีที่แท้จริงคือนายทักษิณ เพราะเป็นเจ้าของหุ้นและผลประโยชน์ที่แท้จริง

การทูตอวยฉ่ำในยุคทรัมป์ 2.0

คงไม่มีการทูตยุคไหนที่ใช้การอวยเป็นอาวุธ อวยเป็นยุทธวิธี และอวยเป็นมหกรรมเท่ายุคทรัมป์ 2.0 ที่เห็นชัดเจนคือที่ผู้นำหลายต่อหลายประเทศได้เรียงหน้าเสนอชื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกันเป็นว่าเล่น

ด่วน! ศาลฎีกาตัดสิน“ทักษิณ”แพ้คดีหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาท

ศาลฎีกามีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรในกรณีการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นการดำเนินการโดยชอบตามกฎหมาย

 วิกฤตศรัทธา! ตำรวจ “แฉ” กันยับ!

สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อตำรวจระดับสูงต่างฝ่ายต่างเปิดโปงการทุจริตและการรับผลประโยชน์จากเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งสแกมเมอร์ และเว็บพนันออนไลน์

ข่าวอื่นๆ

 วิกฤตศรัทธา! ตำรวจ “แฉ” กันยับ!

สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อตำรวจระดับสูงต่างฝ่ายต่างเปิดโปงการทุจริตและการรับผลประโยชน์จากเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งสแกมเมอร์ และเว็บพนันออนไลน์

จริงหรือ ? สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กำลังดิ่งสู่ “หลุมดำ”  แห่งความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง

เหตุการณ์ปะทะคารมและโต้แย้งข้อมูลอย่างเปิดเผยระหว่างนายตำรวจระดับสูงหลายนาย ภายในคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี สส. ฝ่ายค้านเป็นประธาน

การเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีน…หมุดหมายแห่งศตวรรษทองของมิตรภาพ ภายใต้พระบารมี

ภายใต้พระบารมีปกเกล้าฯ แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 13-17 พฤศจิกายน 2568