คงไม่มีการทูตยุคไหนที่ใช้การอวยเป็นอาวุธ อวยเป็นยุทธวิธี และอวยเป็นมหกรรมเท่ายุคทรัมป์ 2.0
ที่เห็นชัดเจนคือที่ผู้นำหลายต่อหลายประเทศได้เรียงหน้าเสนอชื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกันเป็นว่าเล่น เช่น นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนตันยาฮู ของอิสราเอล นายกรัฐมนตรี เชห์บาซ ชะรีฟ ของปากีสถาน ประธานาธิบดีฮาเวียร์ มิเลของอาร์เจนตินา และสมเด็จฮุน มาเนตของกัมพูชา ขณะที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและใหม่หมาดของญี่ปุ่นอย่างนางซานาเอะ ทากาอิชิ ก็ได้เข้าร่วมขบวนการนี้เป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ ผู้นำหลายประเทศแสดงท่าทีจริงจังขึงขังว่า จะผลักดันให้ทรัมป์ได้ลุ้นรางวัลนี้อีกครั้งในปี 2569 เช่น นายกรัฐมนตรีอาร์เมเนีย ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน และประธานาธิบดีของกาบอง รวมทั้งผู้นำรัฐบาลรวันดา และประธานาธิบดีของคองโก (DRC) เป็นต้น

อันที่จริง ในทางการทูต นั้น การสรรเสริญเยินยอผู้นำของมิตรประเทศเป็นเรื่องธรรมดาตามมารยาท ทำกันในโอกาสอันควร เช่น ถ้าไปเยือนประเทศไหนก็ต้องชื่นชมบุญญา บารมี ความฉลาดปราดเปรื่องของท่านผู้นำประเทศนั้น ถ้าไปประชุมที่ไหนแล้วลืมยกย่องวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและผลงานอันเยี่ยมยอดของผู้นำประเทศเจ้าภาพก็นับได้ว่าเป็นความผิดพลาดอันฉกาจฉกรรจ์ แต่การยกยอกันตามธรรมเนียมนิยม นั้น เขาทำกันพอหอมปากหอมคอ ทำกันแต่พองาม ชมกันแต่พอดีด้วยสำนวนโวหารตามมาตรฐานการทูตที่รู้กันว่า เป็นเพียงมธุรสวาจาภาษาดอกไม้ที่ไม่มีใครหลงใหลได้ปลื้ม ไม่จำเป็นต้องจดไว้ในบันทึกการสนทนาหรือในสรุปรายงานการประชุมให้รกหูรกตา เปลืองหน้ากระดาษของทางราชการ
หรือในทางกลับกัน ถ้ามีผู้นำประเทศไหนเดินทางมาเยือนประเทศเรา ก็เป็นประเพณีที่ประเทศเจ้าภาพจะต้องหยิบยกเอาเรื่องดีๆ ของผู้มาเยือนขึ้นยอยศกันเป็นธรรมดา แม้ว่าในกรณีของผู้นำบางประเทศ นั้น การจะเฟ้นหาเรื่องดีๆ เรื่องเด่นๆ สักเรื่องมาสรรเสริญสดุดี อาจหาได้ยากพอๆ กับการขุดหาแร่แรเอิร์ธ
แต่การใช้การทูตแบบ ‘ชเลียร์’ โคตรชเลียร์ อวยกันอย่างวิจิตรพิสดาร แถมยังอวยกันแบบไม่แนบเนียน ไม่อายเหนียมและเปี่ยมด้วยสำนวนโวหารอันหวานซึ้งกว่าผึ้งกว่าตาลที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “flattery diplomacy” นั้น เท่าที่พลิกดูหลายตำรา ไม่ได้มีสอนไว้ นี่จึงอาจเป็นนวัตกรรมการทูตยุคใหม่ที่การอวยแบบไร้ขีดจำกัดอาจจะกลายเป็นไวรัล เพราะดูเหมือนว่า หลายประเทศอวยทรัมป์แล้วได้ดี มีตัวอย่างให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
ตัวอย่างเช่น ในกรณีของปากีสถาน ประเทศที่ถูกสหรัฐฯ หมายหัวมานานว่า สนับสนุนการก่อการร้าย แถมยังเป็นประเทศใต้ชายคาเขตอิทธิพลจีน ขั้วตรงข้ามกับสหรัฐฯ ซึ่งในยุคโจ ไบเดน นั้น ถึงกับเรียกปากีสถานว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก แต่เมื่อผู้นำปากีสถานหันมาพินอบพิเทาเอาใจทรัมป์ในเรื่องต่างๆ แถมยังเสนอชื่อทรัมป์ชิงโนเบลสันติภาพ โดยในการประกาศเรื่องนี้ ณ ที่ประชุมสันติภาพกาซาที่ Sharm-el Sheikh ในอียิปต์เมื่อไม่นานมานี้ นายกรัฐมนตรีชะรีฟได้ขึ้นกล่าวเชิดชูว่า ทรัมป์เป็น “บุรุษแห่งสันติภาพที่แท้จริง” เป็นผู้นำอันเป็นแบบอย่างผู้มีวิสัยทัศน์อันเป็นเลิศซึ่งได้อุทิศตนอย่างโดดเด่นเป็นพิเศษในการยุติสงครามอินเดีย-ปากีสถานทำให้ช่วยรักษาชีวิตคนไว้ได้หลายล้านคน…เท่านั้น ยังไม่พอ.. ชะรีฟยังอวยขั้นสุดว่า ทรัมป์คือคนที่โลกต้องการมากที่สุดในเวลานี้ คือคนที่โลกต้องจดจำไปตลอดกาลนานว่า เขาคือผู้ยุติสงครามได้ถึง 8 สงคราม

ผลที่ตามมาคือ ปากีสถานได้อัตราภาษีทรัมป์ที่ 19% จากเดิมที่ตั้งไว้ 29% ในขณะที่อินเดียที่เถียงแบบหักหน้าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ทรัมป์ไม่ได้ช่วยยุติสงคราม อินเดีย-ปากีสถานเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทำให้ได้รับรางวัลเป็นอัตราภาษี 50% จากเดิมที่ตั้งไว้ 25% นอกจากนั้น เมื่อเดือนกันยายน ทรัมป์ยังเปิดทำเนียบขาวต้อนรับการมาเยือนของนายกรัฐมนตรีชะรีฟ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผู้นำปากีสถานได้รับเกียรตินี้ ในขณะเดียวกัน ปากีสถานยังได้รับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการทหารจากรัฐบาลทรัมป์เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งยังจะมีความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญ (critical mineral) ระหว่างกันอีกด้วย ทำให้อินเดีย พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในอินโด-แปซิฟิก คูอริชั่วนิรันดร์ของปากีสถานได้แต่กล้ำกลืนขมขื่นระทม
ตัวอย่างใกล้ตัวกว่านั้น คือกรณีของกัมพูชา ซึ่งประกาศเสนอทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 โดยนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต มีหนังสือเสนอชื่อทรัมป์ชิงรางวัลโนเบลอย่างเป็นทางการว่า เพราะทรัมป์ มีความเป็นรัฐบุรุษที่สุดยอด (extraordinary statemanship) มีวิสัยทัศน์และนวัตกรรมทางการทูตในการแก้ไขความขัดแย้งและป้องกันสงคราม โดยเฉพาะการเป็นตัวกลางให้มีการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างทันท่วงทีทำให้ช่วยป้องกันการสูญเสียชีวิตของผู้คนไว้เป็นจำนวนมาก
ผลลัพธ์คือ สหรัฐฯ ได้ยกเลิกการห้ามขายอาวุธยุทธภัณฑ์ให้แก่กัมพูชาที่ห้ามมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลโจ ไบเดน อีกทั้งยังจะกลับมาฝึกร่วมทางทหารระหว่างกันที่มีชื่อว่า ‘Angkor Sentinel’ ที่ระงับมา 8 ปีอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังได้ลงนามความตกลงว่าด้วยภาษีทรัมป์ (Agreement on Reciprocal Tariff-ARC) เป็นที่เรียบร้อย แถมนายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยังชมด้วยว่า การหวนมาคืนดีกับกัมพูชาในครั้งนี้เป็นเพราะกัมพูชามีความขยันขันแข็งในการแสวงหาสันติภาพและความมั่นคง รวมทั้งมีความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ ในด้านการทหารและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติด้วย
การอวยสุดฤทธิ์นั้นไม่ได้ทำเพียงด้วยคำพูด หรือเสนอชื่อชิงโนเบล ดังเช่นที่เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์มอบเครื่องบินโบอิ้ง 747-8 ราคา 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่ทรัมป์ ประธานาธิบดี ลี แจ มยอง ของเกาหลีใต้อวยทรัมป์ในระหว่างการเยือนช่วง APEC ด้วยการมอบมงกุฎทองคำทำเลียนแบบมงกุฎกษัตริย์สมัยเกาหลียังมีพระหมื่นปีครองแผ่นดิน เพื่อสื่อว่า ทรัมป์คือผู้นำสุดแกร่งที่หลอมรวมเอาอำนาจแห่งสรวงสวรรค์กับอำนาจการเมือง ณ โลกมนุษย์ไว้ได้อย่างลงตัว ส่วนนายกรัฐมนตรีทาคาอิชิก็ไม่ยอมน้อยหน้า ได้ต้อนรับการเยือนของทรัมป์เมื่อเดือนที่ผ่านมาด้วยการเปิดไฟ Tokyo Tower และตึกที่ทำการกรุงโตเกียวเป็นสีธงชาติสหรัฐฯ พร้อมทั้งมอบไม้กอล์ฟของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ เพื่อนรักของทรัมป์ให้อีกด้วย ผลที่ตามมาคือทรัมป์รับปากว่า จะลดภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในขณะนี้ การอวยทรัมป์แบบฉ่ำๆ นั้นไม่ได้ทำกันเฉพาะในหมู่ผู้นำประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศในเอเชีย ที่ขึ้นชื่อว่าเหนือชั้นในด้านนี้อยู่แล้ว โดยแม้แต่นาย Mark Rutte เลขาธิการ NATO ก็ได้เยินยอทรัมป์ในการประชุมสุดยอดนาโต้ที่กรุงเฮกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยเปรียบทรัมป์ว่า เป็นเสมือนพ่อ (Daddy) ที่ต้องหย่าศึกลูกสองคนที่ทะเลาะเบาะแว้งกันคืออิหร่านกับอิสราเอล บางครั้งจึงจำเป็นที่ผู้เป็นพ่อจะต้องใช้ไม้เรียว หรือพูดแรงๆ บ้าง
แน่นอนว่า การที่กัมพูชา หรือปากีสถานได้ประโยชน์จากสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นผลจากการอวยแต่เพียงอย่างเดียว ย่อมต้องมีเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ และภูมิเศรษฐศาสตร์หรือเรื่องเฉพาะอื่นๆ เป็นเงื่อนไขปัจจัยด้วย เหมือนทุกเรื่องในการเมืองโลก แต่ถึงอย่างไร การอวยในยุคที่ฟ้าเป็นของนก โลกเป็นของทรัมป์ เป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธได้ หลายคนอาจด้อยค่าว่า การอวยเป็นเพียงกลมารยาอันตื้นเขิน น่าขบขัน ไร้ศิลปะ ไร้รสนิยมอันวิไล และไม่ใช่ Soft Power บ้างก็ว่า การอวยเท่ากับการสอพลอที่น่าชิงขังรังเกียจ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
สิ่งสำคัญประการเดียวคือ ตราบใดที่ผู้ถูกอวยคือโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำที่ชอบอวยตัวเอง และชอบให้ผู้อื่นอวยฟังแล้วน้ำตาไหล ฟังแล้วหลงละเมอปูนบำเหน็จตบรางวัลให้ ตราบนั้นการอวยทรัมป์อย่างเป็นล่ำเป็นสันก็จะยังเป็นปรากฏการณ์ต่อไป
แม้ว่าการอวยแล้วได้ดีอาจจะไม่ใช่ของตาย อาจจะไม่จีรังยั่งยืน แต่ก็ไม่อาจประมาทหมิ่นได้ เพราะในโลกยุคอเมริกาต้องมาก่อน โลกที่การทูตแบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระยะสั้น (Transactional Diplomacy) อยู่เหนืออื่นใด นั้น การอวยด้วยปลายลิ้น อาจดีกว่าการมี MoU หรือ MoA อาจจะนำไปสู่ Quick Big Win ได้ ดังตัวอย่างของบางประเทศที่กล่าวมา จึงน่าติดตามว่า การทูตอวยฉ่ำจะล้ำหน้าไปอีกแค่ไหนในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง และในอีก 3 ปีที่เหลือของโลกยุคทรัมป์ 2.0
สืบ นามศิริ



