เมื่อเวลาเที่ยงคืนที่ผ่านมาของวันที่ 28 กรกฏาคม 2568 ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชาที่เจรจากัน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้มีผลบังคับใช้ ท่ามกลางสายตาจับจ้องของประชาคมโลกที่เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดถึงความเป็นไปได้ในการรักษาสันติภาพที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประวัติพฤติกรรมในอดีตของกัมพูชาที่มักจะละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้ง
เบื้องหลังการเจรจาและการตอบรับจากนานาชาติ
การประชุมเมื่อวานนี้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมาเลเซียเป็นผู้ประสานงานหลัก ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการคลี่คลายความตึงเครียดบริเวณชายแดนที่ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเจรจาดังกล่าวมีขึ้นภายใต้แรงกดดันจากอาเซียนและนานาชาติที่ต้องการเห็นเสถียรภาพในภูมิภาค ประเด็นหลักที่หารือคือการยุติการสู้รบ, การถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาท และการสร้างกลไกการตรวจสอบที่โปร่งใส
ความเปราะบางของสันติภาพ
การที่ประชาคมโลกยังคงจับตามองด้วยความระแวงนั้นมีเหตุผลรองรับ เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์และปัญหาเขตแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่การปะทะยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความเปราะบางของความไว้วางใจระหว่างสองประเทศ
สำหรับประเทศไทย การหยุดยิงครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามที่จะใช้ช่องทางการทูตเพื่อแก้ไขปัญหา และแสดงจุดยืนว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน จากกรณีที่กัมพูชาแม้ยอมรับข้อตกลงหยุดยิงในครั้งนี้อาจถูกมองว่าเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันจากนานาชาติ และเกิดจาดความเพลี่ยงพล้ำในการทหารของการปะทะตลอด 5 วัน
และที่สำคัญประชาคมโลกตั้งคำถามถึง “พฤติกรรมหลายครั้งหลายหน” ของกัมพูชาเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการกระทำจะสำคัญกว่าคำพูด
การแสดงออกของผู้นำ
นักวิเคราะห์การเมืองประเมินว่าผู้นำฝ่ายใด “เหนือชั้นกว่ากัน”
รักษาการแทนนายกรัฐมนตรีไทยแถลงเน้นย้ำถึง การยึดมั่นในหลักการสากล การใช้ช่องทางการทูต และความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาอย่างสันติ การถ้อยทีถ้อยอาศัยในเวทีระหว่างประเทศแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ทางการทูต และความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้ง
การกระทำเช่นนี้เป็นการสร้างความชอบธรรมในสายตาประชาคมโลก แม้ว่าในบทบาทการเมืองภายในประเทศจะอีดบุคลิกก็ตาม
ส่วนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แถลงความรู้สึกว่าจริงจังในการแก้ปัญหา มักจะผสมผสานระหว่างการแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวในประเด็นอธิปไตยกับการยอมรับการเจรจาภายใต้แรงกดดัน
นักวิเคราะห์มองว่า จากประวัติที่ผ่านมา การที่กัมพูชายอมรับข้อตกลงหยุดยิงอาจถูกมองว่าเป็นยุทธวิธีหนึ่งในการลดแรงกดดันในระยะสั้น แต่การรักษาคำมั่นสัญญาในระยะยาวต่างหากที่จะพิสูจน์ถึงความน่าเชื่อถือ
สถานการณ์ต่อจากนี้
สถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศและประชาคมโลก
ประการแรก หากมีการปะทะกันอีกครั้ง ความน่าเชื่อถือของข้อตกลงจะลดลงอย่างรวดเร็ว
ประการที่สอง การถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทและการจัดตั้งกลไกการตรวจสอบที่เป็นกลางและโปร่งใส จะเป็นตัวชี้วัดความจริงจังของทั้งสองฝ่าย
ประการที่สาม การแก้ไขปัญหาเขตแดนอย่างถาวรผ่านการเจรจาในระยะยาวเท่านั้นที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้
นักวิเคราะห์ไม่เชื่อว่า การหยุดยิงที่เกิดขึ้นอย่างงาายดายโดยไม่มีเงืาอนไขเช่นนี้ จะสัมฤทธิ์ผล อาจเป็นเพียงการพักรบชั่วคราวเท่านั้น