นานาประเทศกำลังจับตาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ภายหลังการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงอันนำไปสู่การประชุมครั้งแรก ณ กรุงพนมเปญ
เมื่อวานนี้ ไทยร้องขอเปลี่ยนสถานที่ประชุมไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเคยเป็นเจ้าภาพจัดการเจรจาในครั้งแรก โดยให้เหตุผลถึงสถานการณ์ที่ยังคงเปราะบาง และความเหมาะสมของการจัดการประชุมในประเทศที่ไม่ใช่คู่กรณีโดยตรง
การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังของรัฐบาลไทย และความต้องการหลีกเลี่ยงแรงกดดันภายในประเทศที่อาจเกิดขึ้นจากการเจรจาบนแผ่นดินของอีกฝ่าย
ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับมหาอำนาจ โดยปรากฏสัญญาณว่ากัมพูชากำลังเปิดกว้างต่อสหรัฐอเมริกามากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากท่าทีที่ใกล้ชิดกับจีนในช่วงที่ผ่านมา กระทั่งมีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการยินยอมให้สหรัฐฯ เข้าไปตั้งฐานทัพในอาณาเขตของกัมพูชา หากข่าวนี้เป็นจริง จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมีนัยสำคัญ และอาจนำมาซึ่งความไม่พอใจจากจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการเมืองที่สำคัญของกัมพูชา
การปรับเปลี่ยนดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากความต้องการถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาค หรือเป็นผลจากปัจจัยภายในประเทศกัมพูชาเอง
ในส่วนของการเมืองภายในประเทศไทย สถานการณ์ที่ถูกกล่าวถึงว่าอำนาจของรัฐบาลอาจไม่สามารถควบคุมกองทัพได้อย่างเบ็ดเสร็จนั้น เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและิาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยได้นั้น
เป็นที่รับรู้กันกว้างขวางว่า การที่รัฐบาลพลเรือนไม่สามารถควบคุมกองทัพได้อย่างเต็มที่นั้นก็เพราะความอ่อนแอของรัฐบาลเองที่ต้องต่อสู้กันทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านที่มีอีกพรรคที่เคยอยู่ร่วมกับรัฐาลมาก่อน และที่สำคัญสถานการณ์ของรัฐบาลกำลังอยู่ในย่านวิกฤติจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่
จากเหตุคลิปลับการสนทนากับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนไทยที่เป็นบิดากำลังถูกศาลพิจารณาในเหตุการณ์สำคัญซึ่งผลที่ตามมาอาจทำให้สะานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ
นักวิเคราะห์เห็นว่า สถานการณ์หลังหยุดยิง เป็นความพอใจของกัมพูชาที่บรรลุผลในยุทธศาสตร์หยุดรบขณะเพลี่ยงพล้ำ เพื่อเตรียมการสร้างสถานการณ์ใหม่เข้ามาแทนที่
ในโอกาสไม่นานนี้