จากกรณีการเยือนไทยของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนามเมื่อเร็ว ๆ นี้ มิได้เป็นเพียงการทูตตามปกติ หากแต่เป็น “สัญญาณเปลี่ยนเกม” ในสมรภูมิอินโดจีนอย่างแท้จริง เวียดนามประกาศชัดเจนว่าจะยืนเคียงข้างไทยและสนับสนุนปฏิบัติการของกองทัพไทยต่อกัมพูชา สะท้อนถึงการเลือกข้างที่ไม่คลุมเครือ และการกลับมามีบทบาทเชิงรุกของเวียดนามในประชาคมอาเซียน
เบื้องหลังการขยับครั้งนี้ มาจากหลายปัจจัยเชิงยุทธศาสตร์ เขมรภายใต้ตระกูลฮุนพยายามเปิดพื้นที่ฐานทัพเรือเรียมให้มหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐเข้ามาแข่งขัน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของเวียดนาม อีกทั้งการรุกล้ำชายแดนไทยโดยกัมพูชาล่าสุดยังสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนที่กังวลต่อการบานปลายสู่สงครามตัวแทน ไทยจึงถูกมองว่าเป็น “ศูนย์กลางสมดุล” ของภูมิภาค การจับมือกันของไทย–เวียดนามจึงไม่ใช่แค่ทวิภาคี หากแต่เป็นการปกป้องโครงสร้างอำนาจของอาเซียนโดยตรง
เวียดนามไม่ใช่ผู้เล่นใหม่ หากคือ “พี่ใหญ่ในประวัติศาสตร์” ที่เคยจัดระเบียบเขมรมาตั้งแต่ยุคเขมรแดง วันนี้เวียดนามยังคงมีแสนยานุภาพเหนือระดับ ทั้งกองทัพอากาศ กองทัพเรือดำน้ำ และกองกำลังสำรองมหาศาลที่มหาอำนาจยังไม่อยากเสี่ยงทดสอบ เมื่อประกาศสนับสนุนไทย ย่อมเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อกัมพูชาและต่อระบอบฮุนที่กำลังสั่นคลอนจากทั้งปัญหาภายในและแรงกดดันภายนอก ขณะเดียวกัน ภาพการรวมตัวของพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากในกัมพูชาเพื่อสวดภาวนาหยุดยั้งความรุนแรง ก็ตอกย้ำเสียงเรียกร้องจากประชาชนที่อยากเห็นสันติ ไม่ใช่การถูกลากเข้าสู่เกมอำนาจ
การก้าวขึ้นมาของเวียดนามในฐานะพันธมิตรแท้ของไทย ได้เปลี่ยนกระดานภูมิรัฐศาสตร์อินโดจีนครั้งสำคัญ ไม่เพียงกดดันกัมพูชา แต่ยังทำให้ลาวขยับตามเข้าสู่แนวร่วม และส่งผลต่อมหาอำนาจที่ต้องทบทวนการคำนวณผลประโยชน์ใหม่ หากไทยใช้โอกาสนี้สร้างพันธมิตรยุทธศาสตร์ระยะยาวกับเวียดนาม ก็จะกลายเป็นศูนย์กลางเสถียรภาพที่แท้จริงของภูมิภาค
ดังนั้น หากกัมพูชายังดื้อดึงเอาตัวรอดด้วยเล่ห์กลเช่นที่ทำมาตลอด ก็ย่อมไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าตาอับในเกมหมากรุก ที่จบลงด้วยการหลอกลวงตัวเองมากกว่าจะหลอกลวงโล