กองทุนความมั่งคั่งของนอร์เวย์ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศถอนการลงทุนออกจากบริษัทอิสราเอล 11 แห่งเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม จากข้อกังวลด้านจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับสงครามกาซา ตามรายงานของ DW โดยค่าเงินในกองทุนราว 2 ล้านล้านดอลลาร์ถูกปรับลดสัดส่วนการถือครองหุ้นบริษัทอิสราเอลเหลือเกือบ 50 ราย และงดสัญญาจัดการสินทรัพย์กับผู้ให้บริการในประเทศดังกล่าว
การถอนทุนของนอร์เวย์อาจเป็นตัวจุดชนวนสำคัญสำหรับขบวนการ Boycott, Divestment and Sanctions (BDS) ที่รณรงค์ต่อต้านอิสราเอลมาตั้งแต่ปี 2005 โดยกดดันองค์กร สถาบัน รัฐบาลในหลายประเทศให้ยุติความร่วมมือกับภาคธุรกิจและโครงการที่เชื่อมโยงกับการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ ขบวนการดังกล่าวประสบความสำเร็จในการถอนการลงทุนของ AXA, Scotiabank, Samsung Next, 7-Eleven จากอิสราเอล
รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าอิสราเอลเข้าอเมริกาที่ 17% ลดเหลือ 15% ถือเป็นเม็ดเงินกดดันที่ใหญ่กว่าทุกมาตรการคว่ำบาตรในอดีต ขณะที่ EU กำลังกลั่นกรองวิธีจำกัดสิทธิในกองทุนวิจัย Horizon Europe 111,000 ล้านยูโรบนเหตุผลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกาซา โดยฝรั่งเศส สเปน ไอร์แลนด์และสโลวีเนียผลักดันหนัก
นักเศรษฐศาสตร์ Benjamin Bental จาก University of Haifa เตือนว่าการถอนทุนของนอร์เวย์อาจเป็นตัวจุดชนวนสำคัญ “แม้จะกระทบทางเศรษฐกิจไม่มาก แต่สัญญาณนี้อาจถูกนำไปใช้เป็นต้นแบบ หากเกิดขึ้นต่อเนื่องจะมีผลมหาศาล” อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ Dany Bahar ยืนยันว่าอิสราเอลมีบทบาทหลักในระบบเศรษฐกิจ ความรู้ และนวัตกรรมโลก “ระบบเศรษฐกิจอิสราเอลฝังแน่นในห่วงโซ่เศรษฐกิจโลก ถอนตัวไม่ง่าย”
( IMCT News Thai Perspectives on Global Newsรายงาน)