ยะโฮร์ รัฐสำคัญของมาเลเซีย กลายเป็นฮับ Data Center ใหม่ของอาเซียน จากกระแส AI ระเบิดความต้องการลงทุนศูนย์ข้อมูลของบริษัทยักษ์ใหญ่ เทคโนโลยี แต่การเติบโตเร็วนี้กลับสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อไฟฟ้าและน้ำในพื้นที่ ซึ่งอาจชนเพดานทรัพยากรและสั่นคลอนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ
ยะโฮร์: ศูนย์ข้อมูลอาเซียนแห่งใหม่ เพราะใกล้สิงคโปร์ช่วงล็อกดาวน์
ยะโฮร์ได้ประโยชน์จากการจำกัดศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ในสิงคโปร์ช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Microsoft, ByteDance และผู้เล่นท้องถิ่นอย่าง YTL เปลี่ยนมาลงทุนสร้างฐาน Data Center ที่ยะโฮร์แทน รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนเต็มที่ด้วยนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ส่งให้ยะโฮร์กลายเป็นตลาดศูนย์ข้อมูลที่โตเร็วสุดในอาเซียนตอนนี้
วิกฤตไฟฟ้าใกล้เข้ามา: ศูนย์ข้อมูลจะใช้ไฟถึง 20% ของกำลังผลิตประเทศใน 10 ปี
นักวิเคราะห์ประเมินว่าภายในปี 2035 ศูนย์ข้อมูลทั่วมาเลเซียอาจต้องใช้ไฟฟ้าถึง 20% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ โดยยะโฮร์มีแผนเพิ่มกำลังศูนย์ข้อมูลจาก 1.6 กิกะวัตต์ในปัจจุบัน เป็นมากกว่า 5 กิกะวัตต์ เพื่อตอบรับดีมานด์นี้ รัฐบาลเตรียมเพิ่มกำลังผลิตไฟจากก๊าซธรรมชาติ 6-8 กิกะวัตต์ แต่ถ้าหากยังไม่เร่งพลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงานให้มากพอ ปัญหาไฟฟ้าในภูมิภาคคาบสมุทรมาเลเซียจะหนักขึ้นเรื่อยๆ
ศูนย์ข้อมูลต้องการ “น้ำ” สูง – ยะโฮร์เร่งสร้างอ่างเก็บน้ำ-โรงบำบัด
ศูนย์ข้อมูลที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ มีความต้องการน้ำสูงมาก ศูนย์ 100 เมกะวัตต์ต้องการน้ำประมาณ 4.2 ล้านลิตรต่อวัน ยะโฮร์จึงเร่งสร้างอ่างเก็บน้ำและโรงบำบัดน้ำใหม่ 3 แห่ง เพื่อลดการพึ่งพาน้ำจากสิงคโปร์ และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยผู้ควบคุมตลาดเริ่มตั้งราคาน้ำและไฟแบบพรีเมียมกับศูนย์ข้อมูล เพื่อสะท้อนต้นทุนและจูงใจให้ลงทุนระบบสีเขียว
เป้าหมาย Net Zero 2050 ยังอยู่ในความเสี่ยง
แผนการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลใหญ่ กดดันเป้าหมาย Net Zero ของมาเลเซีย รัฐบาลจึงเตรียมเปิด “กรอบงานศูนย์ข้อมูลอย่างยั่งยืน” ภายในตุลาคม 2025 เพื่อกำหนดมาตรฐานการใช้ไฟฟ้า น้ำ และเชื่อมโยงพลังงานสะอาด รวมทั้งศึกษาตัวเลือกพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) เป็นโซลูชันฐานมั่นระยะยาว
บทเรียนจากสิงคโปร์: กฎเข้มทำให้เงินทุนกระจายไปยะโฮร์
สิงคโปร์เคยประกาศระงับสร้างศูนย์ข้อมูลชั่วคราว และมี Roadmap ด้าน Green Data Centre ที่เข้มงวดในเรื่องประสิทธิภาพพลังงานและน้ำ อีกทั้งปลดล็อกกำลังไฟฟ้าให้ศูนย์ที่ผ่านมาตรฐานสีเขียวเท่านั้น ทำให้เม็ดเงินลงทุนบางส่วนไหลไปยังยะโฮร์ที่กฎยังคล่องตัวกว่าในช่วงแรก
ทางออกอยู่ที่นโยบายและเทคโนโลยี: ให้ “ใช้จริงจ่ายจริง” เพิ่มมาตรฐาน และส่งเสริมพลังงานสะอาด
- กำหนดโควต้าไฟ-น้ำรายศูนย์ข้อมูล พร้อมคิดราคาแบบพีค ช่วยจัดการทรัพยากรและลดการกักตุนความจุเกิน
- ใช้มาตรฐานประสิทธิภาพบังคับ PUE/WUE ตามสภาพภูมิอากาศ บังคับระบบคูลลิงที่ไม่ใช้น้ำหรือรีไซเคิลน้ำ
- ส่งเสริมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดระยะยาว พร้อมระบบกักเก็บพลังงาน (Storage) เพื่อเสถียรภาพ
- วางแผนกระจายฐานศูนย์ข้อมูลและกริดไฟฟ้า ลดความเสี่ยงระบบล่มและอัดแน่นพื้นที่
- เพิ่มความโปร่งใสเปิดข้อมูลเรียลไทม์ เพื่อให้ภาคประชาชนและผู้กำกับดูแลตรวจสอบได้
- พิจารณาพลังงานนิวเคลียร์ SMR อย่างรอบด้านทั้งต้นทุน ความปลอดภัย และความยอมรับ
ความร่วมมือข้ามพรมแดนสำคัญ: หลีกเลี่ยงการแข่งขันลดมาตรฐาน ดันสู่มาตรฐานระดับภูมิภาค
เมื่อประเทศหนึ่งมีมาตรการเข้มงวด แต่ประเทศใกล้เคียงผ่อนคลาย ศูนย์ข้อมูลและเม็ดเงินลงทุนอาจย้ายข้ามไป ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมแค่กระจายและย้ายที่ รัฐบาลอาเซียนจึงควรสร้างมาตรฐานร่วมเรื่องประสิทธิภาพพลังงาน น้ำ และไฟฟ้าสะอาดข้ามพรมแดน เพื่อป้องกันการแข่งขันลดกฎเกณฑ์ที่อาจทำลายทั้งทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
AI โตแรงต้องบริหาร “ไฟ-น้ำ-กฎ” ให้ทัน มิฉะนั้นโอกาสจะกลายเป็นภาระ
AI คือกุญแจขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค แต่ไม่มีอะไรฟรี ยะโฮร์กำลังแสดงภาพชัดว่าถ้าไม่จัดการทรัพยากรและกติกาอย่างรัดกุม เกม AI อาจเป็นดาบสองคม ทั้งต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม และเป้าหมาย Net Zero สิ่งที่มาเลเซียทำตอนนี้ ตั้งแต่กรอบศูนย์ข้อมูลอย่างยั่งยืนจนถึงการศึกษาพลังงานสะอาด จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ AI โตได้โดยไม่ทำลายต้นทุนทรัพยากรที่เราทุกคนต้องพึ่งพา