ศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดนัดฟังคำวินิจฉัยคดีสำคัญที่สั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทยในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ โดยเกี่ยวข้องกับสถานะของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 หลังกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา 36 คน ยื่นคำร้องกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ จากกรณีคลิปเสียงที่ถูกบันทึกและเผยแพร่โดยสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเนื้อหาบางช่วงบางตอนมีการกล่าวถึงแม่ทัพภาคสองว่าเป็น “คนของฝั่งตรงข้าม” และประโยคที่ว่า “ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่าคำพูดดังกล่าวเป็น “สารพัดเทคนิคเจรจา” เพื่อมุ่งรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ
ประเด็นที่นักกฎหมายและนักวิชาการให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือการพิจารณาว่าศาลรัฐธรรมนูญจะให้น้ำหนักต่อคลิปเสียงที่ถูกแอบบันทึกนี้ในฐานะพยานหลักฐานได้อย่างไร เพราะแม้ในคดีอาญา พยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบจะถูกตัดออก แต่ในคดีแพ่งและคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีหลักการที่แตกต่างออกไป
ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการไต่สวนเพื่อค้นหาความจริงอย่างกว้างขวางและไม่ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญจากคดีของอดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่ศาลได้วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งด้วยข้อกล่าวหาเดียวกัน แต่เป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำอย่างเป็นทางการและเป็นรูปธรรม ในทางตรงข้าม คดีของนายกรัฐมนตรีแพทองธารเกี่ยวข้องกับคำพูดในการสนทนาส่วนตัว ซึ่งมีความซับซ้อนและน่าสนใจเป็นพิเศษ
ดังนั้น ผลการวินิจฉัยในวันนี้ วันที่ 29 สิงหาคม 2568 จึงระทึกกันต่อเนื่องว่านายกรัฐมนตรีจะ “รอด” หรือ “ไม่รอด” เนื่องจากผลจะขึ้นอยู่กับการชั่งน้ำหนักขององค์คณะตุลาการในหลายมิติ
หากศาลเชื่อว่าคำพูดนั้นเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการทูตและไม่ได้นำไปสู่การกระทำที่สร้างความเสียหายอย่างเป็นรูปธรรม ก็อาจมีแนวโน้มให้รอดจากคดีได้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะสุญญากาศทางการเมืองในระยะสั้น ๆ ได้ ซึ่งอาจจะเป็นช่วงขณะหนึ่งเท่านั้น
ในอีกทางหนึ่ง หากศาลเห็นว่าคำพูดดังกล่าวเป็นการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงและทำลายเกียรติภูมิของตำแหน่งอย่างร้ายแรง โดยไม่สนใจเจตนาเบื้องหลัง ศาลอาจจะตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งเพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการเมืองที่เข้มงวดขึ้นก็ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นการเมืองจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง
ไม่ว่าผลจะออกมาในทิศทางใด การตัดสินครั้งนี้จะเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญทั้งต่อความน่าเชื่อถือของกลไกการถ่วงดุลอำนาจและทั้งทิศทางการเมืองที่กำลังร้อนแรงทั้งภายในและภายนอกประเทศ