ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งจำคุก 1 ปี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย จากกรณีพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย พร้อมระบุว่าระยะเวลาที่ใช้รักษาตัวไม่นับเป็นเวลาคุมขังตามกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ นายทักษิณออกนอกประเทศชั่วคราวเพียงไม่กี่วัน ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่าหลบหนีคดี แต่เจ้าตัวตัดสินใจบินกลับไทยเพื่อเข้าฟังคำพิพากษาด้วยตนเองในวันที่ศาลนัดอ่านคำตัดสิน การกลับมาครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองว่าเขาพร้อมเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรมและไม่ต้องการให้ถูกตราหน้าว่าหลบหนี
นักวิเคราะห์มองว่าการตัดสินใจเดินทางกลับไทยแม้มีโอกาสติดคุกสูง เป็นความพยายามควบคุมเรื่องเล่าทางการเมืองและรักษาภาพลักษณ์ “ยืนหยัดต่อหน้ากฎหมาย” ซึ่งมีผลสำคัญต่อฐานสนับสนุนของตระกูลชินวัตรและพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ผลของคดีอาจสร้างแรงกระแทกอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์ของตระกูลชินวัตรในสังคมไทย ทำให้ความน่าเชื่อถือลดต่ำลงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และอาจทำให้พรรคเพื่อไทยเผชิญความยากลำบากในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยมีการคาดการณ์ว่าพรรคอาจได้ที่นั่งในสภาไม่เกิน 10 ที่นั่ง หากไม่สามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนได้ทันเวลา
คำตัดสินครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของนายทักษิณ เพิ่งพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน เหตุการณ์นี้จึงถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรสูญเสียอำนาจทางการเมืองอย่างชัดเจน
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าผลของคดีอาจทำให้การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะตึงเครียดมากขึ้น ทั้งในเชิงการเคลื่อนไหวของมวลชนและการจัดสมดุลทางอำนาจในสภา ซึ่งจะเป็นบททดสอบสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่และทิศทางการเมืองไทยในปีต่อ ๆ ไป
หรือบางที เหตุการณ์นี้อาจกลายเป็นชนวนให้พรรคเพื่อไทยแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด ปล่อยให้ “ผู้นำจิตวิญญาณ” ต้องตกระกำลำบากใช้ชีวิตอยู่หลังลูกกรงเพียงลำพัง เป็นภาพที่อาจกลายเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองยุคใหม่ของไทย