กระแสสังคมไทยยังคงไม่เห็นด้วยกับการเร่งเปิดด่านชายแดนในช่วงเวลาที่สถานการณ์ยังไม่มั่นคง หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย–กัมพูชา ที่เกาะกง เมื่อ 10 ก.ย. ได้ข้อสรุป 5 ประเด็นสำคัญ ทั้งการถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์-คอลเซ็นเตอร์ที่ไทยชี้พิกัดกว่า 60 จุด
นักวิเคราะห์เตือนว่า ไทยควรใช้ “การบ้าน” เหล่านี้เป็นตัวพิสูจน์ ไม่ใช่เร่งเปิดด่านจนกลายเป็นฝ่ายรับความเสี่ยงซ้ำรอยเดิม
ผลประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของกลไกทวิภาคี โดยไทยยืนยันต้องปกป้องอธิปไตยควบคู่ไปกับการดูแลปากท้องประชาชน โฆษกกระทรวงกลาโหมย้ำชัด “ยังไม่เปิดด่าน” และหากจะผ่อนปรนในอนาคต จะเริ่มจากการขนส่งสินค้าในโซนชายแดนที่ความตึงเครียดต่ำ พร้อมควบคุมโควตาและเวลาผ่านแดนอย่างเข้มงวด
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ความเป็นไปได้ของข้อตกลงอยู่ในระดับปานกลาง ประเด็นที่เป็นรูปธรรม เช่น การถอนอาวุธและการกู้ทุ่นระเบิด สามารถติดตามผลได้ชัดเจน หากฝ่ายกัมพูชาเดินหน้าอย่างจริงจัง แต่หากไม่ปรากฏผลลัพธ์ หรือการปราบปรามสแกมเซนเตอร์ล้มเหลว ไทยย่อมมีสิทธิชะลอหรือยกเลิกการเปิดด่าน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อความมั่นคงและแรงกดดันทางสังคม
เสียงประชดประชันเริ่มชัดขึ้นว่า “กัมพูชาควรจัดการสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้นให้เสร็จก่อน ทั้งทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยขาขาดเกือบสิบคน เครือข่ายสแกมเมอร์ที่หลอกคนไทยหมดเงิน และคอลเซ็นเตอร์ที่ยังไม่ปิดให้หมด”
ด้านชาวบ้านชายแดนรายหนึ่งให้ความเห็นว่า “ถ้ายังมีทุ่นระเบิดอยู่ เราก็ไม่กล้าทำไร่ไถนา เปิดด่านตอนนี้ใครจะรับผิดชอบถ้าเกิดเหตุอีก”
ขณะที่ครอบครัวทหารที่บาดเจ็บย้ำว่า “ลูกชายฉันเสียขาเพราะทุ่นระเบิด อยากให้เขาเคลียร์ให้ปลอดภัยก่อน ไทยค่อยคุยเรื่องเปิดด่าน”