หลังจากการโหวตให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับมอบหมายให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดูเหมือนว่ากระแสการ “ย้ายบ้าน” ของ ส.ส. ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างคึกคัก โดยเฉพาะการมุ่งหน้าสู่พรรคภูมิใจไทยที่กลายเป็น “ขั้วอำนาจใหม่” แห่งทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงอุดมการณ์และความมั่นคงของพรรคการเมืองไทย
ล่าสุด ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเดิม และเข้าร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างเหตุผลว่าไม่สามารถทำงานในพรรคที่มีความขัดแย้งภายในได้ ซึ่งสะท้อนภาพความเปราะบางของพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ และจุดประกายคำถามถึงแรงจูงใจเบื้องหลังการโยกย้าย
ในช่วงเวลาอันรวดเร็วหลังจากการจัดตั้งรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยได้กลายเป็นศูนย์รวมของนักการเมืองที่มองหาโอกาสทางการเมืองใหม่ๆ เหมือนเช่นทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง
มีรายงานการย้ายพรรคที่น่าสนใจและเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิด จากข้อมูลพบว่ามี ส.ส. จากพรรคต่างๆ ทยอยเข้ามาร่วมสังกัดพรรคภูมิใจไทยอย่างต่อเนื่อง อาทิ ส.ส. กว่าครึ่งจากพรรครวมพลังสร้างชาติ ที่ตัดสินใจย้ายมาแทบจะทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมี ส.ส. อีก หลายคนจากพรรคพลังประชารัฐ และที่สร้างความประหลาดใจไม่น้อยคือการที่มี ส.ส. หลายคนจากพรรคเพื่อไทย ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางการเมืองมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเช่นกัน จนกระทั่งล่าสุดกับกรณีของ ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์
การไหลบ่าของ ส.ส. จากหลากหลายพรรคด้วยเหตุผลนานัปการ ไม่ว่าจะเป็น “ความเห็นต่างทางนโยบาย”, “ความไม่ลงรอยภายในพรรคเดิม” หรือ “ต้องการทำงานเพื่อประชาชนในทิศทางที่สอดคล้องกันมากขึ้นกับนโยบายของพรรคใหม่” ล้วนเป็นคำอธิบายที่ถูกหยิบยกมาใช้ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ
การตัดสินใจย้ายพรรคในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐบาลเช่นนี้ มักมีนัยยะแอบแฝงถึง “โอกาสทางการเมือง” ที่กำลังเปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ที่ต่างก็สมหวังกันไปแล้ว
ยังมีตำแหน่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากในคณะรัฐมนตรี กรรมการในคณะกรรมาธิการต่างๆ ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ปฏิเสธไม่ได้
ในบริบทการเมืองไทย ปรากฏการณ์ “การเมืองน้ำขึ้นเรือน” ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับนักการเมืองบางส่วนแล้ว “อุดมการณ์ทางการเมือง” ซึ่งควรเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานเพื่อชาติ อาจเป็นเพียงวาทศิลป์ที่ใช้รองรับการตัดสินใจเปลี่ยนสังกัด การไหลเข้าสู่พรรคที่มีแนวโน้มเป็นรัฐบาล หรืออยู่ในขั้วอำนาจบริหาร คือสิ่งที่ตอกย้ำว่า “ประโยชน์ส่วนตน” และ “โอกาสในการดำรงตำแหน่ง” อาจมีน้ำหนักมากกว่า “ความยึดมั่นในหลักการ” ของพรรคที่เคยสังกัดมาแต่เดิม
หากเป็นเช่นนั้นจริง นี่คือความท้าทายอย่างยิ่งต่อศรัทธาของประชาชนที่มีต่อระบบพรรคการเมือง และอาจส่งผลให้วงจรอุบาทว์ของการ “ซื้อตัว” ส.ส. เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จบในภูมิทัศน์การเมืองไทย ที่ผลประโยชน์มักนำหน้าอุดมการณ์