ตั้งแต่ช่วงอพยพผู้หนีภัยสงครามเวียตนามและยุคเขมรแดง แต่กลับเลือกโจมตีไทยผ่านโซเชียลมีเดียด้วยข้อความบิดเบือนต่อเนื่อง จนกระทั่งนานาชาติเริ่มเดือดดาลและตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมในการนำเสนอข่าวของกัมพูชา
หลังการล่มสลายของระบอบเขมรแดงในปี พ.ศ. 2519–2522 กัมพูชาถูกปั่นป่วนด้วยสงครามกลางเมืองและความวุ่นวายภายใน ขณะที่สหประชาชาติ เข้ามาจัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพ UNTAC ไทยตอบรับทันทีในฐานะเพื่อนบ้านที่ยืนหยัดเคียงข้าง ด้วยการส่งกองพันทหารช่างเฉพาะกิจที่ 2 เข้าร่วมภารกิจครั้งสำคัญ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กองทัพไทยร่วมมือกับ UN อย่างเป็นทางการ
ทหารช่างไทยไม่เพียงแต่ซ่อมสร้างถนน อาคาร และสะพาน แต่ยังสร้าง “ความหวัง” และอนาคตใหม่ให้กับชาวกัมพูชา ความร่วมมือนี้สะท้อนบทบาทของไทยทั้งในฐานะเพื่อนบ้านและผู้สร้างความมั่นคงระดับภูมิภาค การมีส่วนร่วมของไทยในภารกิจ UNTAC ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าไทยไม่เพียงแต่ส่งกำลังทางการทหาร แต่ยังส่งเสริมความร่วมมือด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม
อย่าว่าจะรู้จักบุญคุณผู้มีพระคุณหรือไม่
ในช่วงสองเดือนก่อนหน้านี้ เกิดความตึงเครียดรุนแรงจนลุกลามเป็น สงคราม 5 วัน ไทย–กัมพูชา บริเวณแนวชายแดน โดยกัมพูชารุกล้ำละเมิดอธิปไตยจนไทยจำเป็นต้องตอบโต้ แม้การปะทะเป็นระยะสั้น แต่ภาพการยิงปะทะและความเคลื่อนไหวของกำลังทหารทำให้ประชาชนชายแดนหวาดวิตก ขณะเดียวกัน กัมพูชายังคงเลือกใช้โซเชียลมีเดียโจมตีไทยในรูปแบบต่าง ๆ แต่ไม่ได้ส่งผลให้ภาพลักษณ์ไทยเสียหายตามไปด้วย เพราะนานาชาติรู้พฤติกรรมของผู้นำกัมพูชามาช้านานแล้ว
ย้อนมองประวัติศาสตร์ ไทยเคยเป็นเพื่อนบ้านที่ยืนหยัดช่วยเหลือกัมพูชาตั้งแต่ช่วงอพยพผู้หนีภัยสงครามเวียตนาม ไล่หลังเขมรแดง กองทัพไทยเคยให้ที่พัก พลังงาน และการสนับสนุนด้านมนุษยธรรมในช่วงเวลาที่ประเทศเพื่อนบ้านตกอยู่ในความโกลาหล การกลับมาโจมตีไทยในวันนี้ ไม่เพียงสะท้อนความขัดแย้งปัจจุบัน แต่ยังเป็นเครื่องเตือนว่ากัมพูชายังไม่เคยสำนึกในบุญคุณของไทย
ในภาพรวม สถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชาเป็นบททดสอบความอดทนของไทย ไทยยังคงพยายามรักษามาตรฐานของผู้สร้างสันติภาพ เพื่อให้ประชาชนชายแดนทั้งสองประเทศมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ผาสุก กองทัพบกไทยจึงย้ำว่า สันติภาพต้องมาพร้อมเกียรติยศ ไม่ใช่เพียงภาพลวงตาทางออนไลน์เท่านั้น