วันอาทิตย์, ตุลาคม 19, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกINSIDE - INSIGHTจำนวนชาวอิสราเอลเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ

จำนวนชาวอิสราเอลเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ

เผยแพร่

spot_img

                              การเข้ามาของชุมชนอิสราเอลในไทยไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ท่องเที่ยวหรือการลงทุนทั่วไป แต่เป็นการตั้งชุมชนขนาดใหญ่ พร้อมศูนย์รวมทางศาสนา เช่น ชาบัดหรือโบสถ์ยิว และบางครั้งใช้กลไกทางกฎหมายอย่าง “นอมินี” เพื่อเลี่ยงข้อจำกัดการถือครองที่ดินและประกอบธุรกิจ การกระทำเช่นนี้สร้างแรงกดดันต่ออำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ การผูกขาดทางธุรกิจในชุมชนปิดและความแยกตัวจากสังคมไทย อาจกัดกร่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น แย่งอาชีพ และก่อให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรม หากไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ปัญหาจะซ้ำรอยอย่างที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนต่างชาติ

                             บทเรียนจากประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่าการอพยพและตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวยิว (Diaspora) แม้จะสร้างเครือข่ายเข้มแข็งและรักษาอัตลักษณ์วัฒนธรรมได้ดี แต่ในบางครั้งก็เกิดความขัดแย้งกับเจ้าบ้าน แม้ไทยจะไม่มีรากฐานความขัดแย้งเช่นเดียวกับอิสราเอล-ปาเลสไตน์

                             การปรากฏของชุมชนแยกตัวและจัดโครงสร้างธุรกิจและศาสนาเป็นอิสระ อาจทำให้สังคมเจ้าบ้านรู้สึกว่าพื้นที่และทรัพยากรถูก “ยึดครอง” เป็นตัวจุดชนวนปัญหาที่หากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมและเศรษฐกิจได้

                            สำหรับประเทศไทย ผลกระทบระยะสั้นเห็นได้จากการบิดเบือนกฎหมายการถือครองที่ดินและการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การแข่งขันไม่เท่าเทียม และความเชื่อมั่นในธรรมาภิบาลเศรษฐกิจที่ลดลง หากปล่อยให้เกิดต่อไป ปัญหาจะขยายไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวที่อ่อนไหว เช่น ปาย เกาะสมุย และเกาะพะงัน รัฐบาลไทยเริ่มใช้มาตรการตรวจสอบ “นอมินี” และดำเนินคดีผู้กระทำผิดแล้ว แต่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น

                               การแก้ไขอย่างยั่งยืนต้องทำสามด้านพร้อมกันบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดกับทั้งชาวต่างชาติและผู้ช่วยเหลือคนไทย ปิดช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อป้องกันการเลี่ยง และส่งเสริมการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนต่างชาติ ให้เคารพกฎหมายไทยและร่วมแลกเปลี่ยนกับชุมชนท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์ หากละเลย ปัญหาเล็กอาจกลายเป็นความขัดแย้งซับซ้อนในอนาคต เป็นบทเรียนว่า การปล่อยให้ใครก็ตามทำตามใจโดยไม่ตรวจสอบ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ “น่าอึ้ง” และยากจะแก้ไข

                            น่าแปลกใจที่เจ้าหน้าที่รัฐเงียบเฉยได้ขนาดนี้ คงปล่อยให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นก่อนแล้วถึบจะตื่นเต้น

                           คนในรัฐบาลก็กำลังเล่นเกม “สายตายาวแต่ช้า” ปล่อยให้ชุมชนแยกตัวและผูกขาดธุรกิจเหมือนเป็นเจ้าของเมือง     

                           ก็นิ่งเฉยต่อไปอีกไม่นาน  ปัญหานี้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่โกลาหลเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นบทเรียนกันมาแล้ว

                           ไทยอาจไม่ต้องกังวลเพื่อนบ้านที่พูดเสียงดังจากกัมพูชาเพียงอย่างเดียว แต่ควรเงี่ยหูฟังเสียงก้าวเท้าจากอีกฝั่งของโลก อย่างอิสราเอลที่เริ่มเข้ามาเงียบ ๆ แต่มั่นคงกว่าเดิม 

                           โลกยุคนี้ไม่ได้วัดกันด้วยอาวุธ แต่อยู่ที่ใครมองเห็นการขยับเขยื้อนที่น่ากลัวก่อนกันเท่านั้น

ข่าวล่าสุด

อินโดนีเซียทุ่ม 9 พันล้านดอลลาร์  ‘ซื้อเครื่องบินรบ J‑10 จากจีน’ 42 ลำ

อินโดนีเซียเตรียมเข้าซื้อเครื่องบินขับไล่ J-10C ของจีนซึ่งอาจทำให้อินโดนีเซีย กลายเป็นกองทัพต่างชาติรายที่สองที่ใช้งานเครื่องบินรบรุ่นนี้ ต่อจากปากีสถาน การเข้าซื้อครั้งนี้ถือเป็นการซื้อเครื่องบินรบที่ผลิตในจีน ครั้งแรกของอินโดนีเซีย

กฐินทาน.. มหากาลทาน ๑ ปี มีครั้งเดียว

กฐินทาน คือ การถวายผ้าแด่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงรักษาศีล สมาธิ และปัญญาอย่างเคร่งครัด หลังจากที่ได้จำพรรษาตลอดฤดูฝนในวัดหรืออารามแห่งใดแห่งหนึ่ง การถวายกฐินนี้ถือเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นกาลทาน ที่นำมาซึ่งอานิสงส์อันมากมายให้แก่ผู้ที่ได้มีโอกาสทอดถวาย

 “มารยา” แห่งพนมเปญ  เมื่อกัมพูชาตระบัดสัตย์ปราบสแกมเมอร์

ความยินดีในการร่วมมือกับเกาหลีใต้เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนตกลายเป็นเพียงฉากหน้าของ “มารยาทางการทูต” เมื่อผู้นำกัมพูชาปฏิเสธการร่วมมือกับไทยอย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำยังผลักภาระให้ไทยไปแก้ปัญหาตนเองก่อน

วาระตกต่ำของ “ค่ายสีแดง” สะท้อนเกมอำนาจใหม่ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ “เพื่อไทย” ถูกโหวตคว่ำในสภา

มติที่ร่างฯ ถูกตีตกเพราะขาดเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก เพียงหยิบมือ คือสัญญาณอันชัดเจนว่า กลไกอำนาจรัฐได้เปลี่ยนมือไปแล้วอย่างสมบูรณ์

ข่าวอื่นๆ

 “มารยา” แห่งพนมเปญ  เมื่อกัมพูชาตระบัดสัตย์ปราบสแกมเมอร์

ความยินดีในการร่วมมือกับเกาหลีใต้เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนตกลายเป็นเพียงฉากหน้าของ “มารยาทางการทูต” เมื่อผู้นำกัมพูชาปฏิเสธการร่วมมือกับไทยอย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำยังผลักภาระให้ไทยไปแก้ปัญหาตนเองก่อน

วาระตกต่ำของ “ค่ายสีแดง” สะท้อนเกมอำนาจใหม่ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ “เพื่อไทย” ถูกโหวตคว่ำในสภา

มติที่ร่างฯ ถูกตีตกเพราะขาดเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก เพียงหยิบมือ คือสัญญาณอันชัดเจนว่า กลไกอำนาจรัฐได้เปลี่ยนมือไปแล้วอย่างสมบูรณ์

 กัมพูชาปฏิเสธตลอดว่าไม่ได้เป็นศูนย์กลางแก๊ง สแกมเมอร์โลก

การประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรต่อเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ "ศูนย์หลอกลวงออนไลน์" ในกัมพูชา