เหตุการณ์ปะทะคารมและโต้แย้งข้อมูลอย่างเปิดเผยระหว่างนายตำรวจระดับสูงหลายนาย ภายในคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี สส. ฝ่ายค้านเป็นประธาน เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชี้ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตศรัทธาและความแตกแยกภายในอย่างรุนแรง จนเข้าขั้น “ความตกต่ำ“อย่าง
”ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน”
ตามที่สื่อและสาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์ ข่าวต่าง ๆ ตอกย้ำถึงความผิดปกติในการปฏิบัติราชการหลายประการ
ประการแรก การที่ พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ เลือกใช้สถานที่แถลงข่าวที่สำนักข่าวเอกชน แทนที่จะใช้ช่องทางและสถานที่ของ สตช. เอง ซึ่งมีโฆษกและระบบรองรับครบถ้วน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นในกลไกขององค์กรตนเอง หรือขัดแย้งกันเองภายในต่างเคลือบแคลงสงสัยจนต้องไปแสวงหา “ร่มบารมี” และพื้นที่ปลอดภัยของสื่อมวลชนเพื่อชี้แจงเรื่องส่วนตัว โดยหารู้ไม่ว่ากำลังเซาะกร่อนทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรตำรวจในฐานะหน่วยงานรัฐที่ต้องมีความโปร่งใสและเป็นเอกภาพ
ประการที่สอง การที่ตำรวจระดับสูงจำนวนหลายคนนำโดยรอง ผบ.ตร. ขนทีมงานเข้าไปชี้แจงแล้ว”ปะทะคารม”กับคู่กรณี อย่าง พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล และพรรคฝ่ายค้านในเวที กมธ. นั้น เป็นการใช้กลไกของรัฐสภาผิดวัตถุประสงค์อย่างชัดเจน เนื่องจากคณะกรรมาธิการมีหน้าที่ “ศึกษา” และ “เรียกหรือเชิญ” บุคคลมาให้ข้อมูล ไม่ใช่เป็นเวทีสำหรับคู่กรณีที่ขัดแย้งกันเข้ามา “ฟอกตัวเอง” หรือ “เปิดโปงความสกปรกภายใน” อย่างเอาเป็นเอาตายภายใต้สื่อมวลชนและการถ่ายทอดสด การปรากฏตัวในลักษณะนี้จึงถูกมองว่าเป็นการ อาศัยร่มเงาของฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อประโยชน์ในการต่อสู้คดีส่วนตัว ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของ สตช. แตกแยก และไร้ความเป็นผู้นำองค์กรที่เข้มแข็งอย่างสิ้นเชิง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้คือสัญญาณอันตรายของ ความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง และ วิกฤตความเป็นผู้นำ ใน สตช. การที่ตำรวจระดับสูงต่อสู้กันอย่างเปิดเผยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันและส่วย ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่บ่อนทำลายสังคมอย่างร้ายแรง บ่งชี้ว่า
1) กลไกการตรวจสอบภายใน ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง จนต้องพึ่งพากลไกภายนอกอย่าง ป.ป.ช., ป.ป.ง. และ กมธ. ของรัฐสภา
2) ความไม่เป็นเอกภาพและมาตรฐานที่เหลื่อมล้ำ ในการดำเนินการทางวินัยและอาญาเห็นได้ชัดจากการที่ฝ่ายหนึ่งถูกดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อีกฝ่ายกลับถูกตั้งคณะกรรมการตรวจสอบที่ไม่เร่งรัด ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้อำนาจโดยมิชอบ และ
3) การขาดภาวะผู้นำ ของผู้บังคับบัญชาสูงสุดที่ไม่สามารถควบคุมความขัดแย้งและรักษาเกียรติภูมิขององค์กรไว้ได้
การปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องดิ้นรนไป “พึ่งพา” สื่อมวลชนและฝ่ายการเมืองเพื่อหาทางรอดในการชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงให้เห็นถึงการขาดความนำพาและ “เยื่อใยลูกน้อง” อย่างแท้จริง จนทำให้องค์กรตำรวจไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนในการอำนวยความสะดวกในกระบวนการยุติธรรมและการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างที่ควรจะเป็น
หากพฤติการณ์ที่ปรากฏยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการกลับตัวกลับลำอย่างแท้จริง สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเดินไปสู่ จุดจบของความล้มเหลวในฐานะเสาหลักของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจทำให้บทบาทในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมตลอดจนอำนวยความยุติธรรมของประชาชนสูญสิ้นความน่าเชื่อถือโดยสมบูรณ์
ใครก็อดสท้อนใจไม่ได้กับภาพที่ปรากฏในห้องประชุมกรรมาธิการ ที่นายตำรวจระดับนายพลหลายนายแยกกันคนละฝ่ายปะทะคารมกันอย่างดุเดือด ภาพที่นายพลหอบเอกสารกองโตต้องวิ่งวุ่นไปอาศัยสำนักงานของสื่อมวลชนชี้แจงตนเองกับสาธารณะ
มันทำให้ประชาชนพลอยตื่นตระหนก ว่าเมื่อเขาเดือดร้อนจะพึ่งพาตำรวจได้อีกหรือ เพราะในยามวิกฤต ตำรวจระดับสูงเองก็ยังต้อง “ดิ้นรนไปอาศัยร่มเงาคนอื่น” ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือ สส. เพื่อให้รอดพ้นจากมลทินของตนเอง
ถึงคราวที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องแสดงภาวะผู้นำอย่างชัดเจน ด้วยการ เข้าควบคุมความขัดแย้งและสร้างมาตรฐานเดียว ในการดำเนินการทางวินัยและอาญาต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างยุติธรรมและทันท่วงที โดยใช้กลไกภายในขององค์กรอย่างเข้มแข็งและโปร่งใสที่สุด
หากองค์กรที่อ้างว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ยังต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อปกป้องตัวเองจากความขัดแย้งภายในเช่นนี้ ก็คงเป็นเรื่องตลกที่ขมขื่นที่สุด ที่จะหวังให้ตำรวจออกไปพิทักษ์ประชาชน
เพลงมาร์ชตำรวจ “….เราอยู่ไหนประชาอุ่นใจทั่วกัน”
ก็อย่าร้องให้ประชาชนได้ยินอีกต่อไป



