วันพุธ, พฤศจิกายน 19, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกINSIDE - INSIGHT วิกฤตศรัทธา! ตำรวจ “แฉ” กันยับ!

 วิกฤตศรัทธา! ตำรวจ “แฉ” กันยับ!

เผยแพร่

spot_img

 เปิดโปงเส้นทางส่วยหมื่นล้าน องค์กรสีกากีกำลังเดินสู่หายนะที่ปลายเอื้อม

                              สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อตำรวจระดับสูงต่างฝ่ายต่างเปิดโปงการทุจริตและการรับผลประโยชน์จากเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งสแกมเมอร์ และเว็บพนันออนไลน์

                              ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะได้ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งเชิงอำนาจที่ร้าวลึก และการพัวพันกับเส้นทางการเงินที่น่าตกใจของเจ้าหน้าที่หลายร้อยนาย

                               เหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำมาสู่จุดสนใจสูงสุดหลังจากการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเปิดเผยข้อมูลโดยละเอียดว่ามีตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการรับผลประโยชน์สูงกว่า 200 นาย ท่ามกลางความรับรู้ของสังคมที่ตระหนักดีถึงการเสื่อมถอยขององค์กรผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

                               ล่าสุด นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เพื่อตอบคำถามที่คาใจสังคมและประเมินผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร กมธ. ตำรวจ ฯ ได้มีมติเชิญ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งถือเป็นการเผชิญหน้าในรัฐสภาเพื่อหาทางออกวิกฤตครั้งนี้

                          การปะทะกันอย่างเปิดเผยระหว่างผู้นำองค์กรเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อหลักธรรมาภิบาลและความเชื่อมั่นของสาธารณชน   น่าจะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบในมิติต่าง ๆ ได้ดังนี้

                         1 วิกฤตนี้ก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อ ความชอบธรรมของสถาบันตำรวจ การเปิดโปงว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงมีส่วนเป็นผู้รับผลประโยชน์จากอาชญากรรม ทั้งเว็บพนัน,สแกมเมอร์ ทำให้เกิด ภาวะผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงสถาบัน ที่บิดเบือนการปฏิบัติหน้าที่ และตอกย้ำว่าการทุจริตที่เกิดขึ้นเป็น ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงพฤติกรรมส่วนบุคคล ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อ หลักการอำนาจตามกฎหมาย 

                       2  ผลกระทบต่อประสิทธิผลการทำงานและความเชื่อมั่นของสาธารณชน  เมื่อความขัดแย้งภายในส่งผลโดยตรงต่อ ประสิทธิผลเชิงปฏิบัติการ ตำรวจไม่สามารถปราบปรามอาชญากรรมที่ตนเองได้รับผลประโยชน์อย่างจริงจังได้ ซึ่งนำไปสู่ ภาวะล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่เชื่อมั่นทำให้ประชาชนลดความร่วมมือในการให้ข้อมูล ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อหลักการตำรวจที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง และยังสร้าง ความเครียดทางจริยธรรม  ให้แก่ตำรวจที่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์

                      3 ความแตกแยกในระดับผู้นำนำมาสู่การทำงานที่ไร้เสถียรภาพและไม่ต่อเนื่อง เมื่อผู้นำระดับสูงทำลายความน่าเชื่อถือซึ่งกันและกัน ย่อมเกิด การล่มสลายของสายการบังคับบัญชา  ส่งผลให้การสั่งการและการควบคุมเป็นอัมพาต ทรัพยากรขององค์กรจะถูกใช้ไปกับการต่อสู้ทางการเมืองภายใน แทนที่จะทุ่มเทให้กับการบรรลุเป้าหมายหลักขององค์กร

                      4 สถานการณ์ที่ผู้นำหน่วย  ไม่สามารถควบคุมความขัดแย้ง หรือถูกครหาว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับปัญหา ถือเป็น วิกฤตภาวะผู้นำ  และเป็นการท้าทายหลักการความรับผิดชอบเชิงตำแหน่ง หากไม่สามารถนำองค์กรออกจากความแตกแยกได้และถูกครหาต่อเนื่อง จะถือว่าขาดความสามารถในการนำ ตามหลักธรรมาภิบาลทางการปกครอง

                    นักการเมืองหลายยุคหลายสมัยเคยแก้ปัญหาของตำรวจมาหลายสิบครั้งก็ยังเป็นวัวพันหลัก สไม่ว่าจะมีองค์กรอิสระภายนอกหลายหน่วยเช่นในปัจจุบันก็ยังไม่อาจทัดทานกระแสรุนแรงนี้ได้  ไม่ว่าจะจัดการปฏิรูประบบบริหารงานบุคคลโดยใช้หลักคุณธรรมและความโปร่งใสในการคัดเลือกดังเช่นปัจจุบัน

                   ยังเหลือก็แต่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่บังคับใช้ จริยธรรมวิชาชีพอย่างถึงแก่นแท้เท่านั้น

                ไม่น่าเชื่อ ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาถึงจุด “ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” ก่อความเสียหายต่อเกียรติภูมิและศรัทธาของประชาชนอย่างประเมินค่ามิได้ 

                ดังนั้น ด้วยหลักธรรมาภิบาล ผู้นำหน่วยจึงควรแสดง ความรับผิดชอบด้วยการลาออก เพื่อเปิดทางให้หน่วยงานกลางที่มีความเป็นอิสระเข้ามากวาดล้างและสะสางความสกปรกที่กัดกินองค์กรอย่างถอนรากถอนโคน   อันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สังคมสามารถยอมรับองค์กรตำรวจที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศได้อีกครั้ง

18/11/2568 “ชัยทัศน์”

ข่าวล่าสุด

อธิบายคดีขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นที่ศาลฎีกาสั่งทักษิณ ชินวัตรจ่าย 1.76หมื่นล้านบาท

เดิมกรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา บุตร-ธิดานายทักษิณ 17,600 ล้านบาทเศษ จากผลประโยชน์จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นให้กองทุนเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ แต่บุคคลทั้งสองต่อสู้ว่าผู้ต้องเสียภาษีที่แท้จริงคือนายทักษิณ เพราะเป็นเจ้าของหุ้นและผลประโยชน์ที่แท้จริง

การทูตอวยฉ่ำในยุคทรัมป์ 2.0

คงไม่มีการทูตยุคไหนที่ใช้การอวยเป็นอาวุธ อวยเป็นยุทธวิธี และอวยเป็นมหกรรมเท่ายุคทรัมป์ 2.0 ที่เห็นชัดเจนคือที่ผู้นำหลายต่อหลายประเทศได้เรียงหน้าเสนอชื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกันเป็นว่าเล่น

ด่วน! ศาลฎีกาตัดสิน“ทักษิณ”แพ้คดีหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาท

ศาลฎีกามีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรในกรณีการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นการดำเนินการโดยชอบตามกฎหมาย

ไทยตัดสินใจถูกต้อง ยกเลิกปฏิญญาสันติภาพ พฤติการณ์เลวร้ายซ้ำซากของกัมพูชา

นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ระบุเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าการระงับปฏิญญาสันติภาพเป็นมาตรการจำเป็น หลังทหารไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะเป็นคนที่ 7 จากเหตุทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน

ข่าวอื่นๆ

ไทยตัดสินใจถูกต้อง ยกเลิกปฏิญญาสันติภาพ พฤติการณ์เลวร้ายซ้ำซากของกัมพูชา

นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ระบุเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าการระงับปฏิญญาสันติภาพเป็นมาตรการจำเป็น หลังทหารไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะเป็นคนที่ 7 จากเหตุทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน

จริงหรือ ? สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กำลังดิ่งสู่ “หลุมดำ”  แห่งความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง

เหตุการณ์ปะทะคารมและโต้แย้งข้อมูลอย่างเปิดเผยระหว่างนายตำรวจระดับสูงหลายนาย ภายในคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี สส. ฝ่ายค้านเป็นประธาน

การเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีน…หมุดหมายแห่งศตวรรษทองของมิตรภาพ ภายใต้พระบารมี

ภายใต้พระบารมีปกเกล้าฯ แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 13-17 พฤศจิกายน 2568