วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ศาลฎีกามีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรในกรณีการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นการดำเนินการโดยชอบตามกฎหมาย ส่งผลให้กรมสรรพากรมีอำนาจจัดเก็บ ภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม รวม 1.76 หมื่นล้านบาท ตามหนังสือแจ้งภาษี ภ.ง.ด.12 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560
คำพิพากษานี้ถือเป็นการพลิกคำตัดสินสองชั้นศาลก่อนหน้า ซึ่งเคยวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานประเมินไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบ นายทักษิณ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ทำให้การประเมินภาษีไม่ชอบ แต่ศาลฎีกาเห็นต่าง พิพากษาบังคับคดีเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้น “ชินคอร์ป”
สำหรับคดีนี้ ที่ศาลภาษีอากร ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร (โจทก์) ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร (จำเลยที่ 1) ,นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ (จำเลยที่ 2) ,นายประภาส สนั่นศิลป์ (จำเลยที่ 3) และ นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ (จำเลยที่ 4) ขอให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ ภงด.12-03025250-25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มี.ค.2560 ที่แจ้งให้ นายทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท (ภาษี ,เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม) ให้กับกรมสรรพากร
ต่อมาศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ภ 220/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 ก.ค.2565 พิพากษาเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ (นายทักษิณ) ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ
จากนั้น เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2566 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษา ที่ 2819/2566 พิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลาง
ศาลฎีกาพิจารณาเเล้วสรุปว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ของตนโดยให้บุคคลอื่นรวมถึง นายพานทองเเท้ และ นางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ที่ กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง และแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย
ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหา ประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย อย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่น ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์ คดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร โจทก์ ยื่นฟ้องคดีทางแพ่ง กรมสรรพากร จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 4 คน เรื่องภาษีอากร จึงมีผลให้ นายทักษิณ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีของกรมสรรพากรตามขั้นตอนกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท
ช่าวต้นฉบับจาก https://www.thansettakij.com/politics/644263



