เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกุล ในฐานะ รมว.มหาดไทย ส่งสัญญาณทบทวน ‘เขากระโดง-โป๊กเกอร์’ สวนทางเพื่อไทย วงในชี้อาจเป็นการแก้เกมทางการเมือง
ย่อมรู้กันว่า เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ กติกาอาจถูกเขียนใหม่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนั้นคือเดิมพันทางการเมืองที่เคยสร้างรอยร้าว อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ กำลังเล่นบทบาทที่น่าสนใจบนสองเรื่องที่เคยเป็นที่ถกเถียงอย่างร้อนแรงในยุคของรัฐบาลก่อนหน้า

คดีที่ดินเขากระโดง และการพนันโป๊กเกอร์ คำกล่าวที่ว่า “จะไม่แทรกแซง” และ “จะพิจารณาใหม่” กำลังถูกจับตามองว่าเป็นการดำเนินงานตามหลักนิติธรรมจริง ๆ หรือเป็นเพียงการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อ “เอาคืน” และ “แก้แต้ม” ให้กับฝ่ายตรงข้าม
การที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงสองประเด็นร้อนอย่าง ที่ดินเขากระโดง และ โป๊กเกอร์ ในวันเดียวกัน ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงทิศทางการทำงานของกระทรวงมหาดไทยภายใต้การนำของเขา โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองเรื่องล้วนมีความเกี่ยวพันกับรัฐบาลชุดก่อนที่นำโดยพรรคเพื่อไทยอย่างแยกไม่ออก
ในกรณีที่ดินเขากระโดง นายอนุทินยืนยันว่าการกระทำของคณะกรรมการชุดก่อนหน้ามีการ “ข้ามขั้นตอน” และขอให้ผู้ที่รู้สึกไม่เป็นธรรมไปฟ้องร้องตามกฎหมายเอง คำพูดนี้อาจถูกตีความได้ว่าเป็นการปัดความรับผิดชอบและโยนภาระให้ไปจบที่กระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นเสมือนการส่งข้อความว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวทางการทำงานของรัฐบาลชุดเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่อ่อนไหวอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงภูมิหลังทางการเมืองที่มีความขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทย
ในประเด็นเรื่อง โป๊กเกอร์ ก็ไม่ต่างกัน คำพูดที่ว่า “จะพิจารณา” และ “จะพิจารณาอย่างละเอียด” หลังจากการพิจารณายกเลิกสถานะการพนันในยุคของรัฐบาลเพื่อไทย ถือเป็นการย้อนศรและทบทวนสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
การเคลื่อนไหวนี้อาจถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเคยตัดสินใจนั้นยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ และพร้อมที่จะพิจารณาเปลี่ยนแปลงเพื่อ “ประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ” เป็นหลัก ซึ่งเป็นคำที่มักใช้ในการสร้างความชอบธรรมให้กับการตัดสินใจทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจกลับลำในประเด็นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยที่เคยผลักดันเรื่องนี้อย่างหนัก
คำว่า “ไม่แทรกแซง” ของนายอนุทินจึงกลายเป็นจุดที่น่าจับตามองมากที่สุด เพราะแม้จะกล่าวว่าปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจ “ไม่ทำอะไร” หรือ “ทำ” ในเรื่องที่เกี่ยวพันกับฝ่ายตรงข้าม ย่อมถูกนำไปตีความเป็นการเมืองอยู่ดี การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การอธิบายแนวทางทำงาน แต่เป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับกระทรวงมหาดไทยภายใต้การนำของเขา ที่ดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่การ “แก้ไข” สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเป็นการสื่อสารที่แหลมคมและเป็นไปในเชิงเสียดสีทางการเมือง
ท้ายที่สุดแล้ว การเคลื่อนไหวของนายอนุทินในครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องของการ “เอาคืน” อย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นการส่งสัญญาณที่ละเอียดอ่อนว่า “เมื่อเกมเปลี่ยน ผู้เล่นก็ต้องเปลี่ยน” และอำนาจที่อยู่ในมือย่อมสามารถใช้เพื่อทบทวนและแก้ไขสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางกฎหมายหรือเหตุผลทางการเมืองก็ตาม
ประเด็นที่น่าสนใจจึงอยู่ที่ว่า การตัดสินใจในครั้งนี้จะถูกสังคมมองว่าเป็นการดำเนินงานที่โปร่งใสและเป็นธรรมจริง ๆ หรือเป็นเพียงการเปิดเกมทางการเมืองใหม่บนกระดานที่คุ้นเคยเท่านั้น
“ไม่แทรกแซง” แต่พร้อมจะ “พิจารณา” ทุกเรื่องที่เคยถูกตัดสินไปแล้วในยุคก่อนหน้า… ก็เหมือนกับคำว่า “ไม่เข้าข้างใคร” แต่พร้อมจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนที่เคยเล่นเกมเดียวกันเสมอ



