เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2568 เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ 18 ส.ค.ว่า ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งเพิกถอนวีซ่านักเรียนมากกว่า 6,000 ราย อันเนื่องมาจากการอยู่เกินกำหนดและฝ่าฝืนกฎหมาย รวมถึงบางส่วนที่สนับสนุนการก่อการร้าย
เจ้าหน้าที่ระบุว่า มีการเพิกถอนวีซ่านักเรียนประมาณ 4,000 ราย จากการกระทำผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่เป็นคดีทำร้ายร่างกาย คดีขับรถขณะมึนเมา(DUI) ใช้สารเสพติดและการลักทรัพย์
วีซ่านักเรียนอีกประมาณ 200–300 รายถูกเพิกถอนเพราะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย โดยอ้างอิงกฎเกี่ยวกับความไม่เหมาะสมของผู้ขอวีซ่าตามคู่มือกิจการต่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าผู้ขอวีซ่าจะถือว่าไม่เหมาะสม หากมีส่วนร่วมกับกิจกรรมก่อการร้ายหรือมีความเชื่อมโยงกับองค์กรก่อการร้ายบางแห่ง
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่านักเรียนที่ถูกเพิกถอนวีซ่าสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มใด
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์มีนโยบายที่เข้มงวดเป็นพิเศษกับวีซ่านักเรียนในฐานะส่วนหนึ่งของการปราบปรามการย้ายถิ่นฐาน โดยเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบผ่านโซเชียลมีเดียและขยายขอบเขตการคัดกรอง

กระทรวงการต่างประเทศได้กำชับให้บรรดานักการทูตของสหรัฐฯ ในต่างแดนให้เฝ้าระวังผู้ขอวีซ่าคนใดก็ตามที่สหรัฐฯ มองว่าอาจเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ และมีประวัติความเคลื่อนไหวทางการเมือง
ในปีการศึกษา 2566-2567 มีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 1.1 ล้านคนเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกา ตามข้อมูลจาก migrationpolicy.org ถือเป็นสัดส่วนสำคัญของจำนวนนักศึกษาต่างชาติทั่วโลก ซึ่งสหรัฐอเมริกามีนักศึกษาต่างชาติประมาณ 16% จากทั้งหมด 6.9 ล้านคนทั่วโลก
นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกามาจากจีนและอินเดีย