● จุดเริ่ม: การโค่นสถาบันกษัตริย์และการปลดกองทัพ
ตั้งแต่ปี 2008 เนปาลก้าวเข้าสู่การเป็น “สาธารณรัฐประชาธิปไตย” หลังการล้มเลิกสถาบันกษัตริย์อันยาวนาน และเพียงสองปีถัดมา กองทัพก็ถูกผลักออกจากการเมืองโดยสิ้นเชิง
ความคาดหวังคือ “ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ” จะเปิดทางให้เนปาลเจริญก้าวหน้าเหมือนโลกเสรีตะวันตก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม
● 11 ปีในเงื้อมมือนักการเมือง 100%
ตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา เนปาลอยู่ในมือของนักการเมืองแบบเต็มใบ และผลลัพธ์ที่ปรากฏคือ:
1. ความไม่เสถียรทางการเมืองเรื้อรัง
ภายใน 3 ปี มีถึง 14 รัฐบาลเปลี่ยนหน้ากันบริหาร → ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำงานได้ต่อเนื่องพอที่จะสร้างนโยบายระยะยาว
2. ประชานิยมจนหนี้ท่วมหัว
พรรคการเมืองต่างแข่งกันเสนอของแจกเพื่อซื้อเสียง เลือกตั้งทุกครั้งคือการประมูลนโยบายประชานิยม → งบประมาณรั่วไหล หนี้สาธารณะบานปลาย
3. การฉ้อฉลเชิงโครงสร้าง
ระบบตุลาการถูกผูกติดกับผลประโยชน์ทางการเมือง เมื่อผู้แทนโกงกิน ตุลาการก็ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะต่างมีฐานเสียงและเครือข่ายเดียวกัน
4. การล่มสลายของทุนมนุษย์
คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาและภาษา ไม่เห็นอนาคตในประเทศ → หลั่งไหลออกไปทำงานต่างแดน เนปาลจึงกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาเงินโอนจากแรงงานมากกว่าการผลิตในประเทศ
● การลุกฮือของเจน Z: ไฟที่ไร้ศูนย์กลาง
ปี 2025 การประท้วงใหญ่ระเบิดขึ้น จุดชนวนจากการที่รัฐบาลสั่งปิดแพลตฟอร์มโซเชียลชั่วคราว เพื่อควบคุมข่าวปลอมตามกฎหมายใหม่
ผลลัพธ์คือ เจน Z เนปาล ที่ติดโซเชียลอย่างหนัก ออกมาอาละวาดเกินขอบเขตการประท้วงสันติวิธี:
– เผารัฐสภา เผาบ้านเมือง
– จับภรรยานายกรัฐมนตรีเผาทั้งเป็น
– ล่าสุดโรงแรมหรูระดับโลกอย่างฮิลตันก็ถูกเผา
– นักโทษเรือนหมื่นแหกคุกออกมาปล้นสะดมภ์
แม้รัฐบาลลาออกและคืนแพลตฟอร์มแล้ว แต่สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงขึ้น นี่สะท้อนว่าประชาชนรุ่นใหม่ไร้ทั้ง ศูนย์กลางทางจิตใจ และ ผู้นำที่มีความชอบธรรม
● สังคมที่ไร้หลักยึดเหนี่ยว
เนปาลวันนี้ขาดทุกสิ่งที่เคยทำหน้าที่เป็น ศูนย์รวม:
– ไม่มีสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นสัญลักษณ์ความต่อเนื่องของชาติ
– กองทัพถูกทำให้เป็นแค่เครื่องจักร ไม่มีบทบาทเชิงการเมืองหรือเชิงสถาบัน
– ศาสนาฮินดูถูกลดบทบาท เพราะถูกมองว่าล้าหลัง
– รัฐธรรมนูญใหม่ กลับสร้างแต่นักการเมืองฉ้อฉล
– ความเป็นชาติถูกทำให้พร่าเลือน ประชาชนขาดความภาคภูมิใจร่วม
สิ่งที่เหลือคือ ประชาชนที่ถูกปล่อยให้ลอยเคว้งกลางทะเล โดยไม่มีหางเสือ
● บทเรียนจากเนปาล
สิ่งที่เกิดขึ้นในเนปาลเป็น “โมเดลกลับด้าน” ของความฝันแบบเสรีนิยม
การเมืองที่ฝากทุกอย่างไว้กับนักการเมือง 100% โดยตัดสถาบันกษัตริย์ ตัดกองทัพ ตัดศาสนา ออกไปจากสมการ → ไม่ได้สร้างความเจริญ แต่สร้าง “อนาธิปไตยที่ไร้ศูนย์กลาง” ขึ้นมาแทน
เนปาลกำลังสอนโลกให้เห็นของจริงว่า ประชาธิปไตยที่ไม่มี “แกนกลางยึดเหนี่ยว” จะกลายเป็น มิคสัญญี ที่ไม่มีใครหยุดได้
● เปรียบเทียบกับไทย
ในประเทศไทยปัจจุบัน ก็มีความพยายามจาก พรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่เคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันกษัตริย์ เกลียดชังกองทัพ และมุ่งลดบทบาทของสองเสาหลักนี้ลงไปให้หมด
หากไทยเดินซ้ำรอยเนปาลโดยไม่เข้าใจบทเรียน เราอาจได้เห็นผลลัพธ์คล้ายกัน:
– การเมืองอยู่ในมือของนักการเมือง 100% → เปิดประตูให้การฉ้อฉลเชิงโครงสร้างขยายตัว
– ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง → รัฐบาลผันผวน ไม่อาจสร้างยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว
– ม็อบไร้ศูนย์กลางทางจิตใจ → เมื่อไฟลุก จะไม่มีใครดับได้
สิ่งที่ทำให้ไทยยังไม่ล่มสลายเช่นเนปาล ก็เพราะเรายังมี “ศูนย์รวมทางจิตใจ” ที่ช่วยค้ำจุนความเป็นชาติ และกองทัพที่ยังทำหน้าที่เป็น “กระดูกสันหลัง” ของรัฐในยามวิกฤต แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักเพียงใดก็ตาม
● สรุป
ประเทศไม่ต่างจากเรือนร่างมนุษย์:
– หากไม่มีหัวใจ (สถาบันพระมหากษัตริย์) → เลือดหล่อเลี้ยงจะหยุดไหล
– หากไร้กระดูกสันหลัง (กองทัพ) → ร่างกายจะทรุดพังลง
– หากขาดจิตสำนึกร่วม (ศาสนาและวัฒนธรรม) → ร่างกายนี้ก็กลายเป็นเพียงซาก
ประเทศไทยของเรายังมีแกนกลางเหล่านี้คอยยึดเหนี่ยว แม้ถูกท้าทาย กร่อนเซาะ บ่อนทำลายอย่างหนัก แต่ตราบใดที่เรายังรักษาไว้ได้ ไทยก็จะไม่ซ้ำรอยเนปาล
บทเรียนจากเนปาลมิใช่เรื่องไกลตัว แต่คือกระจกที่ส่องให้ไทยเห็นอนาคตที่รออยู่ หากเราปล่อยให้ความเกลียดชัง (ชังชาติ) และความไม่รู้ของประชาชนที่ถูกปั่นถูกเสี้ยม ทำลายแกนกลางของชาติไปทีละเสา
~ สุวินัย ภรณวลัย
*******
ภาคผนวกเชิงยุทธศาสตร์: หากไทยสูญเสียสถาบันกษัตริย์และกองทัพเหมือนเนปาล จะเกิดอะไรขึ้น?
● ฉากทัศน์ที่ 1: อนาธิปไตยเชิงโครงสร้าง
เมื่อสถาบันกษัตริย์ถูกล้ม กองทัพถูกลดเหลือเพียง “เครื่องจักร” ที่ไร้บทบาทการเมือง ประเทศไทยจะตกอยู่ภายใต้อำนาจนักการเมือง 100%
รัฐบาลจะเปลี่ยนบ่อย ไม่มีเสถียรภาพ → 3 ปีอาจมี 5–7 รัฐบาล
พรรคการเมืองจะแข่งขันกันด้วยประชานิยมสั้น ๆ เพื่อซื้อเสียง → หนี้สาธารณะบานปลาย
ระบบยุติธรรมถูกครอบงำ → นักการเมืองโกงกินโดยไม่ถูกลงโทษ
นี่คืออนาธิปไตยเชิงโครงสร้าง ที่ทำให้ประชาชนไทยจะไม่เหลือที่พึ่งใด ๆ
● ฉากทัศน์ที่ 2: ม็อบไร้ศูนย์กลาง
การเมืองไทยที่อยู่ในมือพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว จะสร้าง “สุญญากาศทางจิตใจ”
เด็กรุ่นใหม่ขาดศูนย์รวม → เมื่อผิดหวังทางเศรษฐกิจและสังคม จะระเบิดออกมาเป็น ม็อบที่ไร้แกนนำ คล้ายเนปาล
ม็อบเหล่านี้เมื่อถูกปล่อยให้ลุกลาม จะเผาเมืองได้ง่าย เพราะไม่มีสัญลักษณ์แห่งชาติหรือสถาบันใด ๆ ที่ทุกฝ่ายเคารพร่วมกันพอจะ “หยุดไฟ”
● ฉากทัศน์ที่ 3: การแทรกแซงจากต่างชาติ
เมื่อไทยอ่อนแอจนไม่เหลือสถาบันใดค้ำจุน มหาอำนาจต่างชาติจะฉวยโอกาสเข้ามาแทรกทันที
ประเทศมหาอำนาจจะแบ่งไทยเป็นเขตอิทธิพลทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
พรมแดนและชายแดนเสี่ยงถูกกัดเซาะ เพราะกองทัพไม่มีศักยภาพในการคุมพื้นที่
เศรษฐกิจจะขึ้นกับเงินทุนข้ามชาติที่มองไทยเป็นเพียง “ตลาดและฐานแรงงาน” ไม่ใช่ประเทศเอกราชที่มีศักดิ์ศรี
● ฉากทัศน์ที่ 4: การสูญสลายของความเป็นชาติ
หากไม่มีสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และศาสนา–วัฒนธรรมมาหล่อเลี้ยง ความเป็นไทย จะเหลือเพียง “การเป็นผู้บริโภค” ที่ไร้ราก
คนรุ่นใหม่จะมองการอพยพไปต่างประเทศเป็นทางรอด → ไทยจะสูญเสียคนเก่งแบบเดียวกับเนปาล
ชาติจะขาดความภาคภูมิใจร่วม → ไม่มีพลังจิตสำนึกที่จะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ร่วมกันอีกต่อไป
● บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์
การเมืองที่ไม่มีสถาบันค้ำจุน ไม่มีกองทัพเป็นกระดูกสันหลัง ไม่ต่างจากเรือนร่างที่ไร้หัวใจและไร้สันหลัง
ประเทศไทยยังไม่ล่มสลายเช่นเนปาลก็เพราะเรายังมี ศูนย์รวมทางจิตใจ ที่ค้ำจุน และยังมีกองทัพที่แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก แต่ยังคงเป็น force of last resort ในการป้องกันอนาธิปไตย
หากเราไม่เข้าใจบทเรียนจากเนปาล วันหนึ่งไทยอาจเดินไปสู่ มิคสัญญี ที่ไม่มีใครหยุดได้
~ สุวินัย ภรณวลัย