ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดบันเตียเมียนเจย ได้ยกระดับขึ้นอีกครั้ง หลังจากนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้ต่อสายตรงถึงนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เพื่อขอให้เข้ามาไกล่เกลี่ย โดยอ้างว่าไทยใช้กำลังติดอาวุธปะทะกับประชาชนพลเรือน
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ปรากฏบ่งชี้ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่นำพลเรือนเข้ามายั่วยุตามแนวชายแดน นำมาซึ่งคำถามถึงแนวทางการรับมือของไทยในเกมการเมืองที่ถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้ง
การที่ผู้นำกัมพูชาเลือกใช้การทูตเชิงรุกด้วยการดึงประธานอาเซียนเข้ามาแทรกแซงในประเด็นทวิภาคี เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่ากัมพูชาไม่ประสงค์จะแก้ปัญหาผ่านกลไกที่มีอยู่ร่วมกัน ซึ่งสวนทางกับความพยายามของฝ่ายไทยที่ยังคงยืนยันในแนวทางการเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ตามที่เคยตกลงไว้ในอดีต
พฤติกรรมนี้สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ที่กัมพูชาใช้มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ความขัดแย้งในช่วงปี พ.ศ. 2554 ซึ่งเน้นการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นเหยื่อในเวทีสากล เพื่อสร้างแรงกดดันต่อประเทศไทย
พฤติการณ์ตระบัดสัตย์ น่ารังเกียจในเวทีโลก นานาประเทศต่างก็รู้มาช้านาน
นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เสียเปรียบในเกมการทูต ไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการรับมือจากการตั้งรับไปสู่การ “สื่อสารเชิงรุก” อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ ต้องเร่งออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังองค์การระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชาเป็นข้อมูลเดียวที่เผยแพร่ออกไป พร้อมกันนั้น ต้องใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ให้เต็มศักยภาพ และหากจำเป็นอาจพิจารณาเชิญตัวแทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนที่เป็นกลางเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในที่ประชุม เพื่อความโปร่งใสและสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีสากล
ยิ่งไปกว่านั้น การแก้ปัญหาของไทยควรครอบคลุมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรในภูมิภาค โดยการดึงการสนับสนุนจากประเทศในอาเซียนที่ใกล้ชิด เพื่อช่วยกันกดดันให้กัมพูชากลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างสันติวิธีและเป็นไปตามหลักการสากล การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาวคือการปักปันเขตแดนที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย แต่ในระยะสั้น การมีพันธมิตรที่เข้าใจสถานการณ์จะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความตึงเครียดและทำให้ไทยไม่ถูกโดดเดี่ยวในเกมการทูตครั้งนี้
เมื่อกัมพูชาเล่นเกมการทูตด้วยการนำพลเรือนเป็น “โล่” สร้างฉากปะทะชายแดน พร้อมชิงฟ้อวร้องเรียนเหมือนทารก
คำถามคือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ไทยจะหยุดเล่นเกมรับอันแสนสุภาพ และหันมาเดินหมากเชิงรุกบนสมรภูมิสื่อสารและเจรจา เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าใครคือผู้ที่พยายามก่อสงคราม และใครคือผู้ที่ยังยืนหยัดในสันติภาพอย่างแท้จริง