ตอกย้ำภาพผู้นำอาเซียนที่ใช้ “การทูตนำ”
นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76 ณ นครเจนีวา
ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของประเทศไทยในการเป็นผู้ให้ที่พักพิงและส่งเสริมหลักมนุษยธรรมแก่ ผู้พลัดถิ่น และ ผู้ไร้รัฐไร้สัญชาติ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการอนุญาตให้ผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมากว่า 77,000 คน สามารถ ทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราว ได้ ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สอดคล้องกับหลักการสากลและประโยชน์ของชาติ
ในภาพรวม การประกาศความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติ และการให้ความคุ้มครองแก่กลุ่มเปราะบาง รวมถึงชาวโรฮีนจา ได้รับการจับตาและชื่นชมจากนานาประเทศ สะท้อนให้เห็นถึง ความมุ่งมั่นของไทย ในการยกระดับการจัดการปัญหาผู้พลัดถิ่นให้เป็นไปตามมาตรฐานระหว่างประเทศ และตอกย้ำภาพลักษณ์ของไทยในฐานะผู้เล่นที่รับผิดชอบบนเวทีโลก
บทบาทของไทยในการยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมและกฎหมาย ระหว่างประเทศยิ่งทวีความโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพิจารณาควบคู่ไปกับสถานการณ์ตึงเครียดตามแนว ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีเหตุ ปะทะที่กัมพูชาก่อเหตุ จนนำมาซึ่งความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และการละเมิดอธิปไตยของไทย แทนที่จะใช้มาตรการทางทหารที่รุนแรงเพื่อตอบโต้ ไทยกลับเลือกใช้แนวทาง “การทูตนำ” และการตอบโต้ตามหลักสากลเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
แนวทางดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสุขุม รอบคอบ และความเป็นผู้ใหญ่ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ โดยเปรียบเทียบกับพฤติการณ์ของกัมพูชาที่มิเพียงแต่ ละเมิดข้อตกลงและตระบัดสัตย์ เท่านั้น แต่ยังใช้ โซเชียลมีเดียให้ร้าย และ ไม่ยอมรับความจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจและสวนทางกับหลักปฏิบัติอันดีงามของรัฐที่รับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเสียงชื่นชมจากประชาคมโลกต่อการทูตอันนุ่มนวลและหลักมนุษยธรรมของไทย ท่่มีความเป็น “สุภาพบุรุษ” ที่มากเกินไปในการรับมือกับเพื่อนบ้านที่ไม่ยี่หระต่อข้อตกลง อาจทำให้ไทยต้องแบกรับภาระและถูกเอาเปรียบทางการเมืองในระยะยาว
การเลือกใช้การทูตเป็นเกราะกำบังในการปะทะที่ถูกยั่วยุอยู่เสมออาจทำให้ดูเหมือนว่าไทย “ใจดี” เกินไปหรือไม่? หรือแท้จริงแล้ว นี่คือการแสดง “พลังอำนาจแบบซอฟต์พาวเวอร์” ที่เหนือกว่าการใช้กำลัง โดยเลือกให้ “มารยาท” และ “ความน่าเชื่อถือ” ในเวทีสากล เป็นอาวุธที่ทรงพลังกว่าการตอบโต้ที่ไร้สติ เพื่อให้ประชาคมโลกได้เห็นความแตกต่างระหว่าง “ผู้นำที่มีวุฒิภาวะ” กับ “เพื่อนบ้านที่ทำตัวเป็นเด็กเกเร” อย่างชัดเจนที่สุด
ดังนั้น บทบาทของประเทศไทยในการยืนหยัดบนหลักการ มนุษยธรรม และ การทูตอย่างสร้างสรรค์ ในเวทีโลก ไม่เพียงแต่เป็นการรักษาภาพลักษณ์ที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำสถานะของไทยในฐานะ สมาชิกสำคัญของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีวุฒิภาวะและความรับผิดชอบต่อสถานการณ์ระดับภูมิภาค
บทบาทนี้สมควรได้รับการชื่นชมและคงไว้เป็นแนวทางหลัก เพราะในระยะยาว ความน่าเชื่อถือทางจริยธรรม ย่อมมีมูลค่ามากกว่าชัยชนะชั่วคราวจากการตอบโต้ด้วยความรุนแรง การที่นานาประเทศเข้าใจไทยมากขึ้นจากถ้อยแถลงในเวที UNHCR และจากการรับมือวิกฤตชายแดน จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในเวทีการเมืองระหว่างประเทศอย่างแท้จริง