วันพุธ, พฤศจิกายน 19, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกสรุปเรื่องซับซ้อนรัฐบาลไทยมัวแต่ "ประจันหน้า" สู้ศึกหน้าบ้าน ระวัง "หลังบ้าน"

รัฐบาลไทยมัวแต่ “ประจันหน้า” สู้ศึกหน้าบ้าน ระวัง “หลังบ้าน”

เผยแพร่

spot_img

ถูกโจรสแกมเมอร์ยึดจนไร้ทางแก้

                              สถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงประเภทสแกมเมอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงอยู่ในขั้น วิกฤตที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว 

                              ข่าวจากหลายสำนักยืนยันว่าการกวาดล้างในฐานที่มั่นเดิมอย่างกัมพูชาและเมียนมาได้ผลักดันกลุ่มทุนจีนเทาให้โยกย้ายฐานปฏิบัติการมาสู่ อาณาจักรคิงส์โรมัน ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สปป.ลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยพื้นที่นี้ได้ถูกยกระดับเป็น “ศูนย์บัญชาการ” แห่งใหม่ที่มีความซับซ้อนและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอาชญากรรมอย่างเป็นระบบ

                             อาคารสูงกว่า 30 ชั้น  การลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อสร้างอาณาจักรนี้ชี้ให้เห็นว่าผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทามีมูลค่ามหาศาล   และเป็นแรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งกว่าการปราบปรามในปัจจุบันอย่างมาก 

                             ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถวิเคราะห์ได้อย่างมีน้ำหนักว่า สถานการณ์จะยังคงเดินหน้าต่อไป โดยคิงส์โรมันจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันและแหล่งฟอกเงินชั้นดี การปราบปรามในระดับนานาชาติจะยังคงเป็นไปอย่างยากลำบาก และโอกาสที่อาชญากรรมเหล่านี้จะหยุดชะงักลงโดยไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดและต่อเนื่องนั้นจึงมีน้อยมาก

                              ความพยายามของประเทศไทยในการต่อสู้กับภัยคุกคามนี้กำลังเผชิญกับจุดอ่อนเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน คือการมุ่งเน้นไปที่การปราบปรามปลายทาง (บัญชีม้า) และการป้องกันตามแนวชายแดนด้านอื่น ๆ โดย ละเลยการตอบโต้ภัยคุกคามที่อยู่ประชิดตัวที่สุด ณ แม่น้ำโขงฝั่งตรงข้าม

                            รัฐบาลจึงจำเป็นต้องปรับกลไกการปราบปรามให้เป็นเชิงรุกและสร้าง “การปรากฏตัวของอำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่เสี่ยง  กล่าวคือการจัดตั้ง “หน่วยพิเศษปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ”  ประจำการและปักหลักที่ อ.เชียงแสน อย่างถาวรและเห็นได้ชัดเจน

                             หน่วยงานนี้ต้องแสดงศักยภาพการสกัดกั้นอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดเผยผลการปฏิบัติการให้สาธารณะรับทราบเป็นระยะ การดำเนินการเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องปรามไม่ให้เกิดการลักลอบข้ามแดนและใช้ไทยเป็นฐานพักพิง แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ชัดเจนไปยังรัฐบาลลาวและกลุ่มทุนจีนเทาว่า ไทยไม่ยอมรับการเติบโตของอาชญากรรมในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้การปราบปรามสามารถ บรรลุผลในระดับการจำกัดความเสียหาย ได้

                               หากยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยยังคงจำกัดอยู่แค่การ “ผงาด” ต่อสู้กับอาชญากรรมตามแนวชายแดนอื่น ๆ หรือภูมิภาคที่เคยเป็นแหล่งสุมหัวในอดีต (ที่ซึ่งทุนอาชญากรได้อพยพออกไปแล้ว) โดยไม่ยอมรับว่า “หลังบ้าน” ตรงคิงส์โรมันได้ถูกใช้เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่เติบโตไม่หยุดหย่อน 

                                ผลที่ตามมาก็คือการปราบปรามจะกลายเป็น “ชัยชนะอันว่างเปล่า” บนหน้ากระดาษ ในขณะที่ภัยคุกคามที่แท้จริงได้ ทะลุทะลวงอยู่ด้านหลังจนเลยจุดที่จะแก้ไขได้แล้ว หากการเมืองไทยยังคงมองข้ามอาคารสูงระฟ้าแห่งการหลอกลวงที่ส่องแสงระยับอยู่ฝั่งตรงข้าม อำนาจอธิปไตยทางดิจิทัลและเศรษฐกิจของประเทศจะถูกกัดเซาะอย่างเงียบ ๆ และต่อเนื่อง 

                                เมื่อวันนั้นมาถึง รัฐบาลอาจพบว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เงินในบัญชีของประชาชนที่หมดไป แต่คือ “เกียรติภูมิ” ของประเทศที่ถูกอาชญากรข้ามชาติใช้เป็น “ทางผ่านด่วน” ไปสู่หายนะอย่างถาวร เหมือนกับการป้องกันป้อมปราการอย่างแข็งขันจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง เพราะไม่เคยคิดเลยว่าศัตรูจะ “เดินอ้อม” เข้ามาทางประตูหลังที่ไม่ได้ล็อกนั่นเอง

ข่าวล่าสุด

อธิบายคดีขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นที่ศาลฎีกาสั่งทักษิณ ชินวัตรจ่าย 1.76หมื่นล้านบาท

เดิมกรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา บุตร-ธิดานายทักษิณ 17,600 ล้านบาทเศษ จากผลประโยชน์จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นให้กองทุนเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ แต่บุคคลทั้งสองต่อสู้ว่าผู้ต้องเสียภาษีที่แท้จริงคือนายทักษิณ เพราะเป็นเจ้าของหุ้นและผลประโยชน์ที่แท้จริง

การทูตอวยฉ่ำในยุคทรัมป์ 2.0

คงไม่มีการทูตยุคไหนที่ใช้การอวยเป็นอาวุธ อวยเป็นยุทธวิธี และอวยเป็นมหกรรมเท่ายุคทรัมป์ 2.0 ที่เห็นชัดเจนคือที่ผู้นำหลายต่อหลายประเทศได้เรียงหน้าเสนอชื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกันเป็นว่าเล่น

ด่วน! ศาลฎีกาตัดสิน“ทักษิณ”แพ้คดีหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาท

ศาลฎีกามีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรในกรณีการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นการดำเนินการโดยชอบตามกฎหมาย

 วิกฤตศรัทธา! ตำรวจ “แฉ” กันยับ!

สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อตำรวจระดับสูงต่างฝ่ายต่างเปิดโปงการทุจริตและการรับผลประโยชน์จากเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งสแกมเมอร์ และเว็บพนันออนไลน์

ข่าวอื่นๆ

รัฐบาลประกาศเดินหน้าปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ

รัฐบาลจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ดีลยุทธศาสตร์’ ทรัมป์’ยกเว้นภาษีกับไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย’

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เปิดเผยข้อตกลงทางการค้ากับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงแร่ธาตุสำคัญและตลาดสำหรับสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ

NT ผนึก จุฬาฯ ร่วมสร้างอนาคตไทยด้วยเทคโนโลยีเสริมสร้างบุคลากรรุ่นใหม่และสังคมแห่งการเรียนรู้

พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมลงนามการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือร่วมสร้างอนาคตไทยด้วยเทคโนโลยี