1) จากเหตุการณ์ความไม่สงบ #ชายแดนไทยกัมพูชา อย่างที่ผมได้วิเคราะห์ไปในบทความก่อนหน้า ตามหลักจิตวิทยาของการใช้ความรุนแรง เมื่อทุกอย่างจบลง สิ่งที่ทิ้งไว้หลังจากความขัดแย้ง จะทวีความรุนแรง และน่ากลัวกว่าเดิม แต่เป็นการใช้ “สงครามทางจิตวิทยา” ระหว่างคน 2 ประเทศ
2) คุณเทพชัย หย่อง ระบุใน twitter X ว่าพบปัญหาของเจ้าของร้านอาหารหลายแห่ง ที่คนกัมพูชา ตัดสินใจกลับประเทศ เพราะคำขู่ของผู้นำ ที่ตั้งใจยึดสัญชาติ และที่ดิน ทำให้เราเห็นได้ว่า “สงครามจบ แต่การเล่นเกมจากความเกลียดชัง และสร้างความเกลียดชังกัน ไม่มีวันจบไป”
3) อันนี้ ถ้าให้พูดตามตรง มองในมุมของความเป็นมนุษย์ ยอมรับว่า คนกัมพูชาน่าสงสารนะครับ เพราะคุณน่าจะพอทราบว่า ถ้าพวกเขากลับบ้านไป โอกาสอดตาย ไม่มีกินสูงมาก เพราะรัฐบาลกัมพูชาไม่ได้ดูแลเรื่องอาชีพ และคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ เขาถึงหนีจากความแร้นแค้นบ้านเขา มาขอพึ่งพิงทำงานในบ้านเรา คนที่ควรประณามจริงๆ เป็นผู้นำบ้าอำนาจ ที่เห็นแก้ตัวมากๆ ดูแลคนในชาติไม่ได้ แต่คิดกลยุทธ์เลวๆเรียกคนกลับประเทศ กลับไปอดตาย
4) และก็อยากให้มองอีกด้านว่า “งานที่คนไทยไม่ทำ = งานที่แรงงานเพื่อนบ้านเราทำ” เพราะนายจ้างไทยมองว่า คนไทยเราเลือกงาน (เลือกเงินที่ดี) มากกว่าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน และไม่ได้อดทนต่อสู้เท่าพวกเขา เราต้องยอมรับว่าผู้นำกัมพูชาเล่นเกมนี้ เพื่อ “ให้ประเทศไทยขาดแคลนแรงงาน” เป็นความจงใจในการวางการต่อสู้ด้านตลาดแรงงานและเศรษฐกิจต่อไปกับธุรกิจในไทย
5) ขอขยายผลไปถึงการรายงานข่าวของสำนักข่าวช่อง one31 ในวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า สวนลำใย ที่จังหวัดตราด และจันทุบรี ที่มีสิทธิ์ “เจ๊ง” เพราะเก็บผลผลิตไม่ทัน ขาดแคลน ไม่เหลือเลยสักคนเดียว และแรงงานไทยหายาก ประกอบกับแรงงานชาติลาวมีต้นทุนสูงกว่าในการจ้าง ทำให้พื้นที่ราวๆ 220,000-250,000 ไร่ ผลผลิตที่จะออกอยู่ที่ประมาณ 370,000 กว่าตัน นับเป็นมูลค่าความเสียหายรวม ราวๆหมื่นล้านบาท สิ่งที่ผู้นำกัมพูชาทำต่อไทย กระทบสภาวะขาดแคลนแรงงานในประเทศไทยแบบฉับพลัน และเราอาจจะสูญเสียรายได้มหาศาล
6) นอกจากประเด็นของตลาดแรงงานขาดแคลน ปัญหาต่อมาคือ “ความเกลียดชัง ทำให้คนไทยมองลูกจ้างแรงงานกัมพูชา อย่างไร้ความเป็นมนุษย์” สังเกตได้จาก comment ที่กังวลว่าลูกจ้างหลังร้านจะบ้วนน้ำลายใส่อาหารให้คนไทยกิน เข้าใจว่านั่นคือความกังวลใจ เพราะสถานการณ์ทำให้มองผู้คนในกัมพูชาเป็นศัตรู แต่จริงๆ มันคือ “ความอันตรายจากความขัดแย้ง ที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังกันตลอดไป ฝังอยู่ในใจคนไทย” (Racial Discrimination)
7) ความน่ากลัวที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในไทย นับต่อจากนี้คือ “Hate Crime” หรืออาชญากรรมจากความเกลียดชัง การทำร้ายใช้ความรุนแรงกับคนจากประเทศกัมพูชาที่เข้ามาอาศัยอยู่ และทำงานในไทย ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยกำลังอยู่ในสภาพจิตใจในสภาวะที่ไม่เป็นปกติ จากข้อมูลข่าวสาร และความเป็นชาตินิยม ที่กำลังทำร้ายความเป็นคนในใจเราอย่างหนัก
8 ) ถ้าคุณจะโกรธเกลียดผู้นำกัมพูชา ที่อำมหิต ไร้ความเป็นคน และพาประเทศสู่การสร้างสงคราม พาคนในชาติไปตาย และทำร้ายประชาชนของเขาเอง ดูแลคนในชาติไม่ดี อันนี้ เราเห็นด้วยที่คุณมีสิทธิ์โมโห แต่คุณต้องไม่ลืมว่าประชาชนกัมพูชา ก็เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ผู้นำเขา เอามาปั่นหัว และสร้างความเกลียดชังระหว่างประเทศ และเป็นเหยื่อของความรุนแรงครั้งนี้เช่นกัน แม้กระทั่งทหารกัมพูชาที่ไปออกรบ ในสัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ตัวเขายังไม่อยากรบเลย แค่เพียงต้องทำตามสั่ง
9) ขณะนี้ ชาวกัมพูชาที่เคยเป็นแรงงานในไทย ทยอยกลับประเทศ เพราะความหวาดกลัวต่อสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยที่อาศัยในประเทศไทย เราเคยเป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์ผู้คนที่ใจดี มีความโอบอ้อมอารี และมีเมตตาต่อผู้คน วันนี้ ความเป็นชาตินิยมหลังการยุติการสู้รบ ทำให้ใครหลายคนไม่อาจจะคิด และมองโลกเหมือนเดิมได้อีกตลอดไป
10) เราไม่ได้เขียน Romanticize สถานการณ์ ว่าต้องโลกสวย ใจดีกับทุกคนบนโลก แต่เราเขียนเรื่องนี้ ให้คุณเห็นว่า นี่ไง ความโหดร้ายหลังจากความขัดแย้ง คนจะเกลียดกันง่ายขึ้นเรื่อยๆ ทำร้ายกัน ฆ่ากันอย่างไร้เหตุผล เพราะต้นตอจากผู้นำบ้าอำนาจที่สร้างชนวนเหตุของสงคราม และสร้างบาดแผลในใจคนตลอดไป … ฮุน เซน และ ฮุนมาเนต เป็นผู้นำที่จิตใจอำมหิตจริงๆ ทำให้คนไม่รู้จักกันต้องเกลียดกัน เพียงเพราะเชื้อชาติ เลวร้ายที่สุด
แล้วเราต้องอยู่กันแบบนี้ตลอดไป … เพราะความเกลียดกลัวต่อกันอย่างนั้นจริงหรือ?
#ตุ๊ดส์review