ขณะที่ฝ่ายค้านตั้งคำถามถึงความจริงใจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคงชายแดน ท่ามกลางความกังวลว่ารัฐบาลอาจเลือกเดินเกมหาเสียงมากกว่าปกป้องประชาชนที่กำลังเผชิญความยากลำบาก
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีข้อจำกัดจากข้อตกลงทางการเมือง MOA ที่กำหนดกรอบเวลาเพียง 4 เดือน ก่อนการยุบสภาและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ภายใต้เวลาที่บีบคั้น
รัฐบาลเสนอแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 5 ด้าน โดยเฉพาะการจัดการเศรษฐกิจปากท้อง และการสกัดกั้นอาชญากรรมข้ามชาติจากพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา
ปัญหาหลักอยู่ที่การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและการคุ้มครองเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา ซึ่งสะท้อนว่าโจทย์ความมั่นคงครั้งนี้ซับซ้อนเกินกว่ามาตรการเชิงเดี่ยว
แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นวาระที่มีโอกาสสำเร็จสูงเพราะสอดคล้องกับ MOA แต่ความท้าทายใหญ่กลับอยู่ที่การรักษาความมั่นคงชายแดน เนื่องจากการใช้กำลังทหารเพียงอย่างเดียวไม่สามารถยุติอาชญากรรมข้ามชาติได้ การจัดการอย่างยั่งยืนต้องดำเนินควบคู่ไปกับการทูตเชิงรุก เพื่อกดดันให้กัมพูชาเคารพข้อตกลงระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ต้องเพิ่มมาตรการควบคุมพื้นที่ชายแดนให้รัดกุม นี่คือโจทย์ที่รัฐบาลต้องแสดงภาวะผู้นำในการผสาน “กำลังรบ” และ “กำลังเจรจา” อย่างแท้จริง
ฝ่ายค้านอภิปรายวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า รัฐบาลกำลังใช้เวลาสั้น ๆ เพื่อสร้างคะแนนนิยมมากกว่าจัดการปัญหาเชิงโครงสร้าง การเน้นมาตรการประชานิยมอย่างการอัดฉีดเงินหรือโครงการแจกจ่ายในช่วงวิกฤต อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าปัญหาคลี่คลายแล้ว ทั้งที่ประเด็นใหญ่ เช่น การจัดการอาชญากรรมข้ามชาติ และการยุติความตึงเครียดชายแดน ต้องอาศัยกลไกผสมผสานทั้งด้านทูตและความมั่นคง ฝ่ายค้านจึงตั้งคำถามถึงความจริงใจของรัฐบาลว่าแท้จริงแล้วกำลัง “ทำเพื่อพรรค” มากกว่า “ทำเพื่อชาติ” หรือไม่
ในยามที่เศรษฐกิจถดถอยและความมั่นคงชายแดนเปราะบาง ประชาชนคาดหวังว่ารัฐบาลเฉพาะกิจนี้จะไม่ปล่อยเวลา 4 เดือนให้สูญเปล่า การบูรณาการงานระหว่างกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศจึงเป็นหัวใจหลัก หากรัฐบาลแสดงให้เห็นว่าการทูตสามารถหนุนการทหารในการกดดันประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันก็ปกป้องประชาชนจากอาชญากรรมข้ามชาติได้จริง จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารัฐบาลทำเพื่อประโยชน์ของชาติ มิใช่เพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้า
รัฐบาลใหม่ อย่ามัวแต่หาคะแนนนิยม! ประชาชนไม่ได้ต้องการ “คนละครึ่ง” เพื่อประทังชีวิต แต่ต้องการรัฐบาลที่ไม่ “ครึ่ง ๆ กลาง ๆ” ในการใช้ทั้งการทูตและการทหาร เพื่อสกัดกั้นภัยจากชายแดนและปกป้องอนาคตของประเทศ



