วันอาทิตย์, ตุลาคม 19, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกบทความ-ความเห็น"เจาะลึก! 'อนุทิน 1' กับคำแถลงนโยบาย 4 เดือนชี้ชะตาประเทศ บทพิสูจน์สู่การปฏิบัติจริง"

“เจาะลึก! ‘อนุทิน 1’ กับคำแถลงนโยบาย 4 เดือนชี้ชะตาประเทศ บทพิสูจน์สู่การปฏิบัติจริง”

เผยแพร่

spot_img

กรุงเทพมหานคร, 28 กันยายน 2568 – ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการกำหนดทิศทางการบริหารประเทศในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ก่อนการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมหรือเมษายน 2569 

คำแถลงนโยบายฉบับนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนวิสัยทัศน์ของรัฐบาล แต่ยังเผยให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสที่รออยู่เบื้องหน้า ที่รัฐบาลอนุทิน 1 ได้ประกาศเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการยึดมั่น 3 หลักการสำคัญ ได้แก่ การพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์, การยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการยึดมั่นในหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนรอบด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์โลก คำแถลงนโยบายนี้จึงถูกจับตาเป็นพิเศษถึงมาตรการเร่งด่วนที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

นโยบายเด่นที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 4 ด้าน และประเด็นร้อนทางการเมือง โดยคำแถลงนโยบายได้เน้นย้ำถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 4 ด้านอย่างเร่งด่วน พร้อมด้วยประเด็นที่น่าสนใจในหลายมิติ

1. ปัญหาเศรษฐกิจ จะลดภาระ เพิ่มสภาพคล่อง แต่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้จริงหรือ?

ในประเด็นนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยจะผลักดัน “โครงการคนละครึ่ง” อย่างต่อเนื่อง พร้อมมาตรการลดค่าเดินทาง ค่าขนส่ง และค่าพลังงาน รวมถึงสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนเพื่อความสะดวกและเข้าถึงง่ายขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการแก้หนี้ประชาชนรายละไม่เกิน 100,000 บาท และเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs สูงสุด 1,000,000 บาท ซึ่งมาตรการเหล่านี้มุ่งหวังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในระยะสั้น

แม้มาตรการเหล่านี้จะช่วยบรรเทาปัญหาปากท้องได้ในระยะสั้น แต่คำถามสำคัญคือ รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่เผชิญกับความท้าทายจากการส่งออกที่ชะลอตัว การลงทุนที่ซบเซา และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงได้หรือไม่? ซึ่งข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2568 จะขยายตัวเพียง 2.3% ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ การพึ่งพามาตรการกระตุ้นการบริโภคเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะยกระดับเศรษฐกิจให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทยได้ในระยะยาว

2. ปัญหาความมั่นคง กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา และการทำประชามติ MOU เกมการเมืองบนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ?

ประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือแนวทางในการจัดการ “กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา” โดยรัฐบาลจะใช้ทั้งมาตรการทางการทหารและการทูตควบคู่กันไปเพื่อรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ ที่สำคัญคือการระบุถึงการ “ทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา”

สิ่งที่น่าจับตาก็คือ การนำประเด็น MOU ไทย-กัมพูชา มาทำประชามติในช่วงเวลาที่รัฐบาลมีอายุสั้น อาจถูกมองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือดึงคะแนนเสียงมากกว่าการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งประเด็นนี้มีความละเอียดอ่อนและอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว การทำประชามติจะเป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลในการสร้างฉันทามติจากประชาชนและจัดการกับความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น โดยต้องระมัดระวังไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายและกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติในภาพรวม

3. ปัญหาภัยพิบัติภัยธรรมชาติ จะเร่งรัด ปรับปรุง แก้ไข แต่จะทันการณ์และโปร่งใสแค่ไหน?

ในถ้อยแถลงของนโยบายที่รัฐบาลประกาศออกไประบุว่า รัฐบาลตระหนักถึงความจำเป็นในการเร่งรัดระบบเตือนภัยและป้องกันภัยพิบัติธรรมชาติ พร้อมปรับปรุงมาตรการดูแลช่วยเหลือประชาชนให้รวดเร็ว ทันสถานการณ์ โดยจะมีการแก้กฎระเบียบและหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างคล่องตัว ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน

เราต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง การปรับปรุงระบบเตือนภัยและการช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความท้าทายอยู่ที่การดำเนินการให้ทันการณ์และมีประสิทธิภาพจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการเน้นย้ำเรื่องการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันในการช่วยเหลือภัยพิบัติ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการทุจริตที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในสังคมไทย ซึ่งรัฐบาลจะต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการปราบปรามและสร้างความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ

4. ปัญหาภัยสังคม การปราบปรามเด็ดขาด “ไม่หนุนพนัน” แต่จะจัดการกับต้นตอของปัญหาได้หรือไม่?

รัฐบาลประกาศปราบปรามยาเสพติด การพนัน การพนันออนไลน์ สแกมเมอร์ และเครือข่ายฉ้อโกงประชาชนอย่างจริงจังและเด็ดขาด โดยเน้นย้ำว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างร้ายแรง ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะ “ไม่สนับสนุนธุรกิจการพนันทุกชนิดให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ไม่สนับสนุน Entertainment Complex แบบมีกาสิโน และไม่มีการพนันออนไลน์ที่ถูกกฎหมาย ซึ่งการปราบปรามยาเสพติดและการพนันเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ปัญหาเหล่านี้มักมีรากฐานมาจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและอาชีพที่ดี 

จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่า ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง การปราบปรามอย่างเด็ดขาดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอหากไม่สามารถจัดการกับต้นตอของปัญหาได้ ซึ่งจุดยืนที่ชัดเจนในการไม่สนับสนุน Entertainment Complex แบบมีกาสิโน อาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการดึงดูดการลงทุนและการท่องเที่ยวในระยะยาว ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางสังคม

ประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ

1. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยรับฟังเสียงประชาชนและสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และจะมีการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ในวันที่มีการลงคะแนนเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไปครั้งหน้า

สำหรับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตทางการเมืองของประเทศ แต่การผูกโยงกับการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจทำให้กระบวนการล่าช้าและถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง การสร้างฉันทามติจากทุกฝ่ายและการรับฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริงจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นที่ยอมรับ

2. การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ลดต้นทุนการผลิต (โดยเฉพาะปุ๋ย) และป้องกันการลักลอบนำเข้าผลผลิตจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะ

ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรจำนวนมาก มาตรการที่นำเสนอมานั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่ความท้าทายอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า และการส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะที่ต้องอาศัยการลงทุนและการเข้าถึงเทคโนโลยี ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับเกษตรกรรายย่อย

3. สาธารณสุข-การศึกษา การปฏิรูประบบสาธารณสุขให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงและสะดวกที่สุด และปฏิรูปกฎหมายการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและคุณภาพการศึกษายังคงเป็นประเด็นสำคัญ การปฏิรูปกฎหมายและการเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องมั่นใจว่าการปฏิรูปเหล่านั้นจะช่วยลดช่องว่างและสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันให้กับประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือมีฐานะยากจน

4. สิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ” เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในเวทีโลก

การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับกระแสโลกและเป็นโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ต้องมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมถึงการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและประชาชนในการปรับตัว เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ความท้าทายและสิ่งที่ต้องจับตาคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน 1 สะท้อนถึงความพยายามในการตอบสนองต่อปัญหาเร่งด่วนของประเทศในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และการเมือง อย่างไรก็ตาม ด้วยกรอบเวลาการทำงานที่จำกัดเพียง 4 เดือนก่อนการยุบสภา ความท้าทายสำคัญจะอยู่ที่ความสามารถของรัฐบาลในการเปลี่ยนนโยบายเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรมและสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในสังคมไทย

ประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ การดำเนินการในนโยบายที่ละเอียดอ่อน เช่น การทำประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการปราบปรามการพนันที่อาจมีผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบประมาณและการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จของรัฐบาลชุดนี้ประชาชนและนักลงทุนต่างเฝ้ารอคอยการพิสูจน์ว่า “อนุทิน 1” จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและนำพาประเทศก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ ได้ตามที่ได้แถลงไว้หรือไม่ ในช่วงเวลา 4 เดือนอันสั้นนี้ ทุกสายตาจะจับจ้องไปที่การลงมือทำ

ข่าวล่าสุด

อินโดนีเซียทุ่ม 9 พันล้านดอลลาร์  ‘ซื้อเครื่องบินรบ J‑10 จากจีน’ 42 ลำ

อินโดนีเซียเตรียมเข้าซื้อเครื่องบินขับไล่ J-10C ของจีนซึ่งอาจทำให้อินโดนีเซีย กลายเป็นกองทัพต่างชาติรายที่สองที่ใช้งานเครื่องบินรบรุ่นนี้ ต่อจากปากีสถาน การเข้าซื้อครั้งนี้ถือเป็นการซื้อเครื่องบินรบที่ผลิตในจีน ครั้งแรกของอินโดนีเซีย

กฐินทาน.. มหากาลทาน ๑ ปี มีครั้งเดียว

กฐินทาน คือ การถวายผ้าแด่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงรักษาศีล สมาธิ และปัญญาอย่างเคร่งครัด หลังจากที่ได้จำพรรษาตลอดฤดูฝนในวัดหรืออารามแห่งใดแห่งหนึ่ง การถวายกฐินนี้ถือเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นกาลทาน ที่นำมาซึ่งอานิสงส์อันมากมายให้แก่ผู้ที่ได้มีโอกาสทอดถวาย

 “มารยา” แห่งพนมเปญ  เมื่อกัมพูชาตระบัดสัตย์ปราบสแกมเมอร์

ความยินดีในการร่วมมือกับเกาหลีใต้เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนตกลายเป็นเพียงฉากหน้าของ “มารยาทางการทูต” เมื่อผู้นำกัมพูชาปฏิเสธการร่วมมือกับไทยอย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำยังผลักภาระให้ไทยไปแก้ปัญหาตนเองก่อน

วาระตกต่ำของ “ค่ายสีแดง” สะท้อนเกมอำนาจใหม่ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ “เพื่อไทย” ถูกโหวตคว่ำในสภา

มติที่ร่างฯ ถูกตีตกเพราะขาดเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก เพียงหยิบมือ คือสัญญาณอันชัดเจนว่า กลไกอำนาจรัฐได้เปลี่ยนมือไปแล้วอย่างสมบูรณ์

ข่าวอื่นๆ

เปิดเสียงผี หมาหอน เครื่องบินรบ ทำให้ชาวกัมพูชากลัว นอนไม่ได้

กรณีที่คุณกันจอมพลัง ได้เปิดเสียงผี หมาหอน เครื่องบินรบ ทำให้ชาวกัมพูชากลัว นอนไม่ได้ จนรัฐบาลกัมพูชายื่นร้องเรียนการกระทำดังกล่าวต่อ UN

ทรัมป์พลาดโนเบลสันติภาพ ถูกมองเป็นคนหลงตัวเองแห่งศตวรรษ

รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ อดีตอธิการบดีสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Seri Phongphit ระบุว่า... #รางวัลโนเบลสันติภาพที่มีคนอยากได้ใจจะขาด สะใจโก๋ที่นายทรัมป์ไม่ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่เจ้าตัว “เรียกร้อง” อย่าง “หน้าด้าน” อ้างว่าไม่มี

“ศาลเตี้ย”  ของสื่อกับหลักของ Presumption of Innocence ความสมดุลระหว่าง เสรีภาพสื่อ กับ สิทธิจำเลย

การที่สื่อบางรายการนำประเด็นที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี มาถกเถียงอย่างเผ็ดร้อน โดยเฉพาะการเชิญ "แขกรับเชิญ" ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหรือมีความคิดเห็นที่ชี้ขาด มา "ยำ" หรือซักไซร้ไล่เลียงอย่างหนักก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ทั้งจริยธรรมสื่อ และธรรมาภิบาล